วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทริกดีๆ ซื้อของ SALE

กลยุทธ์ทางการตลาดในปัจจุบันนี้ มีส่วนทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะการลด แลก แจก แถม ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือล่อตาล่อใจให้ตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี และกลยุทธ์ดังกล่าวก็สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ต้องการซื้อของถูก ยิ่งมีของแถมหรือแจกฟรี รับรองว่ามีเท่าไหร่ก็หมดค่ะ...!!

เมื่อนักการตลาดค้นพบว่าจุดอ่อนของผู้บริโภคคืออะไร พวกเขาก็มักจะวางแผนที่จะโกยเงินจากกระเป๋าบรรดานักช็อปอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการประกาศลดราคาของสินค้า แบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หากคุณไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี รับรองว่ามีเงินเท่าไหร่เป็นจ่ายหมด

หากคุณอดใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าห้างร้านไหนติดป้ายประกาศลดราคาสินค้า ดิฉันขอแนะนำให้ชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดยต้องคิดก่อนจ่ายเงินว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ฉบับนี้มีแนวคิดในการตัดสินใจซื้อมาฝากให้บรรดาผู้ที่เห็นของถูกแล้วตาวาว จะได้รู้ตัวกันซักนิดว่าคุณถูกหลอกหรือว่าสินค้าราคาถูกจริงๆ

ชั่งใจ . . . ชั่งเงิน

ข้อแนะนำแรกดิฉันขอเตือนให้คุณใช้วิจารณญาณของตัวเอง เพื่อหาคำตอบว่าสินค้าที่ติดป้ายลดราคานั้นเขาลดราคาจริงหรือไม่? เพราะปัจจุบันนี้มีผู้ประกอบการหัวใสแต่มีจิตใจคดโกง หาทางระบายสินค้าด้วยการบอกว่าลดราคา แต่ความจริงแล้วราคาก็เท่าเดิม ได้กำไรเท่าเดิม เพียงแต่บวกราคาเพิ่มขึ้นแล้วติดป้ายบอกว่าลดราคา 50-70% หรือบางที่ก็บอกว่าลดทั้งร้าน

ที่ตั้งข้อสังเกตว่าลดราคาจริงหรือไม่นั้น เพราะดิฉันเคยพูดคุยกับผู้ที่ช่ำชองในการช็อปปิ้ง เขาบอกว่าก่อนที่สินค้าจะถูกติดป้ายลดราคา ก็เคยขายในราคาดังกล่าว หากใครไม่รู้ก็หลงเชื่อกลยุทธ์หลอกลวง อย่างไรก็ตามห้างร้านที่เขาลดราคาจริงๆ ก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีลูกค้าประจำ เขาไม่กล้าหลอกลวงอย่างแน่นอน

ถึงจะ SALE แต่ต้องดี

แต่ที่เห็นกันก็คือสินค้าที่นำมาลดราคาส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ค้างสต็อก ล้าสมัย หรือตกรุ่น ฯลฯ ดังนั้นการเลือกซื้อคุณควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าด้วย โดยพิจารณาว่าดีหรือไม่ สมควรที่จะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่คุณเห็นว่าราคาถูกหรือไม่? ที่สำคัญนักช็อปทั้งหลายควรให้ความสำคัญในเรื่องประโยชน์ใช้สอยด้วยนะคะ เพราะมีหลายคนที่หลับหูหลับตาซื้อ เพราะเห็นว่าราคาถูก จึงซื้อมาเก็บสะสมไว้เป็นกองๆ ที่บ้านโดยไม่ได้ใช้งานเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าซื้อราคาถูกแต่ไม่คุ้มค่าค่ะ

อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ต้องการรอให้สินค้านั้นๆ ลดราคาจึงจะตัดสินใจซื้อ เนื่องจากตอนที่ออกมาขายใหม่ๆ นั้นราคาแพงเหลือเกิน ต้องรอให้ลด 50-70% ก่อนจึงจะสามารถซื้อได้ แต่หลายคนก็มองว่าการซื้อของลดราคานั้นทำให้ขาดความภาคภูมิใจในตัวสินค้าที่จะมาครอบครอง จึงไม่นิยมซื้อสินค้าลดราคา ในเรื่องนี้ดิฉันคิดว่านานาจิตตังนะคะ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน

ลดราคา . . . ประหยัดจริงอ่ะ!

จุดสำคัญของการซื้อสินค้าลดราคานั้น สำหรับคนทั่วไปมักจะมองเรื่องความประหยัด จึงมีคุณแม่บ้านหลายคนที่นิยมซื้อของลดราคาแบบเอาเป็นเอาตาย บางคนก็ซื้อตุนไว้เพื่อใช้ได้ในวันข้างหน้า โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น น้ำตาล น้ำปลา ข้าวสาร ฯลฯ แม้ว่าจะลดราคาเพียงไม่กี่บาท แต่พวกเธอก็เห็นว่าคุ้มค่าหากตัดสินใจซื้อ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดเงินให้กับครอบครัว

ส่วนการเลือกซื้อสินค้าลดราคาสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มนั้น อาจไม่มีความสำคัญมากนัก เพราะคนกลุ่มนี้เขารู้ดีว่าสินค้านั้นมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จะลดราคาหรือไม่ก็ต้องซื้ออยู่ดี กลยุทธ์ในการหั่นราคาจึงใช้ไม่ได้ผลกับเขาและเธอเหล่านั้น แต่ถ้าวันหนึ่งสินค้าที่คนกลุ่มนี้ถูกอกถูกใจติดป้ายลดราคา ดิฉันเชื่อว่าการตัดสินใจซื้อย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ใครก็ตามที่เห็นว่าสินค้าราคาถูกจึงต้องซื้อ ดิฉันมีข้อเตือนใจให้คิดกันเล่นๆ ว่า ของถูกที่ดีๆ ไม่มีในโลก ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าที่ไหนจะมาขายในราคาต่ำกว่าทุนที่ติดป้ายประกาศไว้ ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อคุณควรเลือกว่าถ้าราคาถูก แต่คุณภาพไม่อยู่ในมาตรฐานที่เคยกินเคยใช้กัน ก็อย่าซื้อเลยเพราะคงไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรอก

คุณคงเคยเห็นแผนกอาหารสำเร็จรูปในห้างสรรพสินค้าทั่วไป มักจะลดราคาสินค้าในช่วงระหว่าง 3-4 ทุ่ม หรือเวลาที่ห้างใกล้จะปิด สินค้าเหล่านี้มีทั้งที่น่าซื้อและไม่น่าซื้อ แต่ก่อนที่จะซื้อกันขอแนะนำให้คิดให้รอบคอบนะคะ ต้องดูให้แน่ใจว่ามันหมดอายุหรือยัง เพราะบางอย่างที่คุณคิดว่าซื้อมาแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้นาน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้

แม้แต่เสื้อผ้ายี่ห้อดังที่มักประกาศลดราคาในช่วงปลายปี หรือเทศกาลสำคัญ ๆ ที่จะสามารถกอบโกยเงินจากกระเป๋าบรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ได้ หากคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่าสินค้าเหล่านั้นบางครั้งก็มีตำหนิ แต่คุณอาจมองไม่เห็น หรือแม้แต่เสื้อบางตัวคุณอาจเคยเห็นเขาโชว์เพื่อขายเมื่อหลายปีแล้ว หากใส่ไปแล้วแทนที่จะเท่แต่กลับถูกเพื่อนแซวว่าแต่งตัวเชย หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครคงไม่คุ้มค่ากับเงินที่คุณจ่ายอย่างแน่นอน

หากคุณไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อกลยุทธ์การขายสินค้า ดิฉันขอเตือนว่าคุณอย่าเป็นคนหูเบาและเชื่อใครต่อใครง่ายๆ นะคะ เพราะบางครั้งคำพูดบางคำจากภาพยนตร์โฆษณาที่บอกว่าถ้าตัดสินใจซื้อภายในวันนี้จะได้รับส่วนลดจากที่ประกาศขายอยู่ หากคุณคิดเป็นก็ต้องทราบว่าจะมีใครในโลกนี้ยอมจ่ายค่าโฆษณาในราคาแพงๆ เพื่อมาขายของราคาถูกให้กับคุณกันค่ะ

การซื้อสินค้าที่ลดราคาทุกครั้งในฐานะที่คุณเป็นผู้บริโภคจะต้องได้รับความเป็นธรรมใช่หรือไม่ ดังนั้นทุกๆ คนจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม? ถูกจริงๆ หรือแหกตา อย่าลืมนะคะว่าทุกวันนี้เงินทองนั้นหายาก ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปต้องคุ้มค่าและคุ้มราคาค่ะ

6 นิสัยทำลายตัวเอง

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร? บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่

1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

ระวัง...สารเคมีจากชุดชั้นในสีดำ

จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูง ซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมา ทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตราย และมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก

แต่สาวๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมาก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้ง

วิธีเลือกทำสีผมจากสีผิว

ใครที่กำลังอยากทำสีผมให้ดูดียิ่งขึ้น วันนี้มีเทคนิคการเลือกสีผมจากสีผิวเพื่อให้ดูเข้ากันยิ่งขึ้นมาบอก....

- ผิวขาวอมชมพู ผิวสีนี้ดูมีสุขภาพดี สีผมที่เหมาะกับ คือ เฉดสีบลอนด์ ควรเลือกสีบลอนด์ประกายหม่น หรือโทนน้ำตาลทอง และทองแดงประกายน้ำตาล แล้วเสริมด้วยการทำไฮไลต์โทนอ่อนกว่าหนึ่งระดับเพื่อช่วยให้ผิวดูไม่ซีดเกินไป

- ผิวขาวอมเหลือง สีผิวนี้ทำให้ใบหน้าดูซีดเซียว จึงควรเลือกทำสีผมโทนสีแดง เช่น ประกายม่วงเหลือบแดง น้ำตาลแดงประกายม่วง หรือแดงเข้มประกายแดง

- ผิวสองสีหรือสีน้ำผึ้ง เหมาะกับผมโทนสีทอง เช่น สีส้ม น้ำตาลทองเคลือบประกายทอง สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเนื้อ หรือทำไฮไลต์สีน้ำตาลอ่อนไล่ระดับ เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น

- ผิวสีแทน ผิวคล้ำหรือผิวสีเข้ม เหมาะกับผมสีน้ำตาลแก่ น้ำตาลช็อกโกแลต สีมอคค่า และควรเพิ่มประกายทองแดง หรือเพิ่มมิติด้วยไฮไลต์ไล่ระดับ เพื่อขับให้สีผิวดูไม่คล้ำจนเกินไป รู้อย่างนี้แล้ว ลองเลือกเฉดสีให้เหมาะกับตัวเองเพื่อดูดียิ่งขึ้น.

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

น้ำคลอโรฟิลล์

เห็นหลายคนนิยมดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ตามกระแสคนรักสุขภาพ บ้างก็เชื่อว่า ดีต่อสุขภาพมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคบางโรค บ้างก็บอกว่าเป็นน้ำอายุวัฒนะ

ยิ่งในปัจจุบัน พบว่ามีการโฆษณาขายน้ำคลอ โรฟิลล์กันเต็มไปหมดโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมาคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

นพ.กฤษดา กล่าวว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเสมือนเป็นเลือดของพืช ประกอบด้วยแมกนีเซียม มีคุณสมบัติช่วยเติมกระดูก เกลือแร่ได้ ที่สำคัญจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนกับพืชที่ จะใช้คลอโรฟิลล์ต้านอนุมูลอิสระจาก แสงแดด ยกตัวอย่างต้นกล้วยที่ต้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดนาน ๆ แต่มันไม่เหี่ยวไม่ตายก็เพราะว่า มันมีคลอ โรฟิลล์ นอกจากจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแล้ว มันจะเป็น เหมือนด่านที่กันแดดเอาไว้ ไม่ให้แดดมาเผาใบทำให้เกิดอนุมูลอิสระ

ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ให้เราดื่ม มักจะสกัดจากพืชที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น สกัดจากต้นหญ้าอัลฟัลฟ่า ซึ่งมีอยู่ตามทุ่งราบอเมริกา ที่พบว่ามีคลอโรฟิลล์สูง จึงนิยมนำมาให้สัตว์กิน แต่เนื่องจากมีกากเยอะ คนกินไม่ได้ จึงได้นำมาสกัดเอาเฉพาะคลอโรฟิลล์

สำหรับน้ำคลอโรฟิลล์ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีทั้งที่สกัดจากหญ้าอัลฟัลฟ่า และพืชผักอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีเขียวจาง ๆ ไม่เข้มข้นมาก ก็เพราะมีการนำมาเจือจางกับน้ำ ดังนั้นจึงไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เรากินจากพืชผักสด ๆ

ถามว่าควรจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์หรือไม่ นพ.กฤษดา ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง ถ้ามีสตางค์กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นผมจะกินจากผักสดดีกว่าเพราะได้กากใยจากผักด้วย
ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรา สามารถเลือกกินคลอโรฟิลล์ได้จากพืชใบเขียวต่าง ๆ เพราะคลอโรฟิลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบของพืชผัก สังเกตได้ง่าย ๆ ตรงไหนมีคลอโรฟิลล์เยอะ ก็คือตรงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงนั่นเอง

พืชผักใบเขียวหลายชนิดที่มีคลอโรฟิลล์ เช่น คะน้า ตะไคร้ ใบเตย สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย ผักโขม ปวยเล้ง ใบแมงลัก สาหร่ายทะเล ถ้าไม่อยากเสียสตังค์กินสด ๆ ได้ หรืออาจจะนำมาปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้ ก็จะทำให้ได้น้ำคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นมากขึ้น หรือจะต้มน้ำใบเตย น้ำตะไคร้ก็ได้ หรือบางคนอาจจะนำมาใส่ในอาหาร เช่น ต้มเปรอะจะใส่ใบย่านางหรือใบแมงลัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า คลอโรฟิลล์ ไม่ควรนำไปอุ่นหรือโดนความร้อนจัดจนเกินไป เพราะทำให้เสื่อมสลายไปได้

โดยหลักแล้วควรจะกินหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อย่างที่บอกถ้ามีสตางค์กินได้ก็ดี ดีกว่าน้ำเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ ในคนที่มีเกลือแร่ในเลือดไม่ค่อยสมดุล อย่างคนที่เป็นโรคไต อาจจะขับเกลือแร่ไม่ได้ ดังนั้นต้องพึงระวังว่า อาจจะได้รับเกลือแร่เกินจากคลอโรฟิลล์ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะแมกนีเซียมถ้ามีเยอะเกินไปอาจจะมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจได้

นพ.กฤษดา บอกว่า ที่มีการโฆษณากันและไม่เป็นไปตามนั้น ก็คือ กรณีที่บอกว่าคลอโรฟิลล์ช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายนั้น ความจริงคือเมื่อเรากินเข้าไปคลอโรฟิลล์จะไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงเหมือนในพืช ตรงนี้หลายคนมักจะเข้าใจผิดกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คนหันมาดื่มน้ำคลอโรฟิลล์กันมาก แทนที่จะกินจากผักสด ก็คงเพราะกลัวเรื่องสารพิษ หรือยาฆ่าแมลงในผัก ก็เลยเลือกคลอโรฟิลล์ที่สกัดแล้ว

ท้ายนี้คงขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วละว่า หลังจากที่ นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลแล้วจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ต่อหรือไม่ เพราะอย่างที่บอก คลอโรฟิลล์ก็มีประโยชน์ แต่สามารถหากินได้ง่ายจากพืชผักใบ เขียวต่าง ๆ ถ้าใครกระเป๋าหนักจะหามาดื่มก็ไม่ว่ากัน.

ดื่มชาเขียวแช่เย็น เป็นอันตรายจริงหรือ?

คงจะเป็นเพราะว่าชาเขียวในท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อขายดิบขายดี ก็เลยมีการเขียนข้อความและส่งต่อกันทางอีเมล โดยอ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง ให้ข้อมูลทำนองว่า “การดื่มชาเขียวที่แช่เย็น จะทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระ หรือสารพิษออกจากร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษอันเป็นสาเหตุของมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ” เป็นต้น

อีเมลดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มาฟังจากปาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

นพ.กฤษดา กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องอธิบาย เกี่ยวกับชาก่อน ชาแบ่งเป็นประเภทง่าย ๆ ตามปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ 5 กลุ่ม คือ 1.ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ได้ผ่านการหมัก 2.ชาดำ จะหมักนาน โดนอากาศ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดลง 3.ชาอูหลง เป็นชาที่หมักส่วนหนึ่ง ไม่ได้หมักส่วนหนึ่ง จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากลุ่มที่ 2 แต่ น้อยกว่ากลุ่มแรก 4.ชาขาว มาจากส่วนยอดของใบชาที่ยังเป็นตุ่มอยู่เลย ยังไม่ผลิใบ ปีหนึ่งจะเก็บได้ 2 ครั้ง คุณสมบัติก็พอ ๆ กับชาเขียวเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ และ 5.ชาสมุนไพร เป็นชาแบบไม่ใช่ชา เช่น ชามะลิ ใบหม่อน เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระในชา คือ สารคาเทชิน และอีกตัวคือแทนนินซึ่งมีประโยชน์คือทำให้ลำไส้ปกติ ไม่แปรปรวน โดยแทนนินจะมีรสฝาด

ชาที่เป็นซองซอย หรือหั่นละเอียด จะดีกว่าชาที่กินเป็นใบตรงที่ว่า ชาหั่นละเอียดจะทำให้สารแทนนิน หรือสารฝาดออกมาเยอะ แต่บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบรสฝาดเท่าไหร่ คือถ้าชอบรสอ่อนหน่อย ก็จะดื่มชาที่เป็นใบ ๆ

วิธีการเลือกชา คือ ไม่ควรเลือกชารสฝาดเกินไป เพราะถ้าชารสฝาดเกินไปอาจจะเป็นกากชาที่มันหักหรือทิ้งไว้นานก็ได้ ไม่เลือกชาที่มีรสจางอ่อนจนเกินไป เพราะเท่ากับว่าแทบจะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เลย ส่วนสีก็พอจะบอกได้ว่า ถ้าสีเข้มน่าจะมี สารแทนนินเยอะ แต่สีจางก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดี เสมอไป

นพ.กฤษดา บอกว่า สารต้านอนุมูลอิสระคือ คาเทชินในชาจะหายไปถ้าโดนความร้อนจัดนานนับชั่วโมง โดยมีงานวิจัยระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนาน ๆ แต่คนที่ดื่มชาส่วนใหญ่จะชงชาดื่ม ไม่ต้มชา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

เพราะฉะนั้นที่อีเมลระบุว่า ชาที่แช่เย็น จะทำให้เกิดมะเร็งนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด สิ่งที่น่าห่วงในชาเขียวที่เป็นขวด ๆ แช่เย็น คือพวกน้ำตาลมากกว่า เพราะถ้าดื่มในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้อ้วนได้

ใครที่ไม่ควรดื่มชา ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า คนที่มีปัญหา ท้องอืดบ่อย ๆ เพราะชาจะทำให้ท้องอืด ลำไส้บีบตัวไม่ดีนัก เด็กก็ไม่ควรดื่ม และคนเป็นโรคหัวใจ ก็ไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้ใจเต้นเร็ว ทำงานหนักขึ้น หญิงตั้งครรภ์ก็เช่นกัน เพราะในชามีกาเฟอีน อาจจะส่งผลต่อการบีบตัวของมดลูก และไปกระตุ้นตัวอ่อนในครรภ์ได้ อาจส่งผลทำให้คลอดก่อนกำหนด รวมทั้งคนที่เป็นโรคไต เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย

แล้วใครที่ควรจะดื่มชาบ้าง ? นพ. กฤษดา กล่าวว่า คนที่อยากจะคุมน้ำหนัก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สารแทนนินในชา ถ้ารวมกับ กาเฟอีน ซึ่งมันมีอยู่ในชาทั้ง 2 ชนิด จะช่วยในเรื่องการเผาผลาญในร่างกาย แต่ไม่ถึงกับช่วยลดน้ำหนัก ดังนั้นคนที่จะคุมน้ำหนักก็สามารถดื่มชาได้ร่วมกับการออกกำลังกาย และอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรดื่มชา คือ คนที่สูบบุหรี่จัด พวกนี้จะมีสารอนุมูลอิสระเยอะ ก็คงต้องการสารคาเทชินมากหน่อย ไปช่วยต่อต้านสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็ง รวมไปถึงคนที่ต้องใช้สมองเยอะ ๆ ขี้หลง ขี้ลืม คาเทชินจะช่วยล้างตะกรันแก่ในสมองได้

นพ.กฤษดา ยังแนะ เคล็ดลับง่าย ๆ ให้สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังคงอยู่ คือ ระหว่างชงชา ให้ใส่มะนาวลงไปด้วย คือ แทนที่จะกินชาเขียวร้อน ๆ อย่างเดียวก็กินชาผสมมะนาวไปด้วยแต่ถ้าไม่ชอบรสเปรี้ยวก็ไม่ต้องใส่มะนาวก็ได้

สรุปว่า ชาเขียวแช่เย็นไม่ได้เป็นอันตรายตามที่ข้อความในอีเมลระบุ แต่ข้อควรระวังก็คือปริมาณน้ำตาลในชาเขียวที่เป็นขวดมากกว่า เพราะหากดื่มมากจนเกินไป และไม่ออกกำลังกาย อาจทำให้อ้วนได้ ส่วนใครจะดื่มหรือไม่ดื่มชานั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเอง เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครไปบังคับกันได้.

กว่าจะเป็น 'ยางรถยนต์' วัสดุคงทน สารพัดประโยชน์

แม้จะไม่ใช่อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง เฉกเช่น กระสุนปืน หรือลูกระเบิด แต่เจ้าผลิตภัณฑ์กลม ๆ ดำ ๆ นามว่า “ยางรถยนต์” ที่ เป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่มีคนกล่าวถึงกันมากในช่วงเหตุการณ์ไม่สงบที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่า มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์มากมายไม่แพ้กันหากต้องสูดดมควันพิษจากการถูกเผาเป็นเวลานาน ๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่า “ยางรถยนต์” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เป็นส่วนที่แบกรับน้ำหนักทั้งหมดของรถยนต์ ช่วยบังคับทิศทาง ช่วยลดแรงกระแทก หรือแม้กระทั่งมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำมัน...

ยางเส้นดำ ๆ ที่ใช้กันอยู่นั้น หากมองดูเผิน ๆ แล้วไม่น่าจะทำยากอะไร แต่ในความเป็นจริง กรรมวิธี ขั้นตอนการผลิตมีความรัดกุมอย่างยิ่ง โดยกว่าจะได้ยางออกมาสักเส้นหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ก้องเกียรติ ทีฆมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ช่วยไขข้อข้องใจให้ฟังว่า การผลิตยางมีขั้นตอนแรก คือ การเตรียมชิ้นส่วน เป็นการผสมวัตถุดิบ ซึ่งมีส่วนผสมกว่า 30 ชนิด ผสมรวมกัน โดยส่วนประกอบที่สำคัญจะเป็น ยางธรรมชาติ ที่ทำจากยางพารา ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากภูมิภาคในอาเซียน ทั้ง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย มีคุณสมบัติช่วยถ่ายเทความร้อน ทำให้ยาง มีความยืดหยุ่นทนต่อแรง กระแทกได้ดี

นอกจากนั้น ยังมี ยางสังเคราะห์ เป็นส่วนประกอบ เพื่อให้ยางทนต่อความร้อนเพราะถ้าใช้ยางธรรมชาติอย่างเดียวเมื่อเจออากาศร้อนจะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ยางจะอ่อนตัวลง อีกส่วนประกอบหนึ่ง คือ ผงเขม่า ช่วยทำให้โมเลกุลจับตัวกันแน่นมากขึ้น ทำให้ยางมีความแข็งแรงทนต่อการสึกและรอยขีดข่วนต่าง ๆ เป็นที่มาและเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยางรถยนต์มีสีดำ

“ยางแต่ละชนิดนั้น จะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน อย่าง ยางรถบรรทุก จะมี สัดส่วนของยางธรรมชาติมากกว่ายางสังเคราะห์ หรือยางเครื่องบิน ที่ต้องใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงหรือรับน้ำหนักมาก จะต้องใช้ยางธรรมชาติมากกว่ายางสังเคราะห์ ส่วนยางรถเก๋ง จะมีส่วนประกอบของยางสังเคราะห์มากกว่ายางธรรมชาติ เพราะรถมีน้ำหนักเบาและใช้ความเร็วที่ไม่สูงมาก”

ต่อมาส่วนผสมที่ได้จะถูกนำไป เข้าเครื่องรีดให้ออกเป็นแผ่นสี ดำ ๆ บาง ๆ เพื่อนำไปเคลือบกับขดลวดและผ้าใบ ทำให้หน้ายางมีความแข็งแรง และช่วยให้การหมุนของล้อมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยมีขอบลวดซึ่งทำหน้าที่รัดยางเข้ากับกระทะล้อที่ถูกสร้างด้วยการนำเส้นลวดมาวาง เรียงเป็นแผ่นแล้วเคลือบด้วยยาง จากนั้น นำไปพันทับขดเป็นวงตามขนาดล้อแล้วใช้เส้นใยมาพันรอบเพื่อให้ขดลวดแข็งแรง คงรูป ก่อนนำไปประกอบกับชิ้นอื่น

“ขอบลวดนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์จะเป็นส่วนของกระดูกสันหลัง เมื่อหน้ายางผลิตเสร็จแล้วส่วนประกอบทุกอย่างจะถูกยึดกับขอบลวดที่กระทะล้อทั้งหมด ถ้ามีการกระทบกระเทือนในส่วนนี้โครงสร้างของยางจะยุบตัวทันที ฉะนั้นเส้นรอบ วงของยางจึงมีความสำคัญมาก”

เมื่อได้หน้ายางที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การสร้างยาง เป็นการขึ้นรูปตัวยางโดยจะมีแม่พิมพ์ หลังจากที่ขึ้นรูปยางแล้ว อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ยางจะมีหน้าตาเหมือนกับที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป แต่จะมีลักษณะกลม เกลี้ยง และเรียบทั้งเส้น โดยจะเรียกยางที่ยังไม่ได้อบนี้ว่า ยางดิบ หรือ กรีน ไทร์ (Green Tire)

จากนั้น จะเอา กรีน ไทร์ เข้าไป อบในเตาอบ โดยในเตาอบจะมีแม่พิมพ์ใส่ไว้เพื่อให้รู้ว่ายางที่ทำนั้นเป็นยางรุ่นอะไร เช่น ยางรุ่นเอ็กเซอร์เลนท์ แม่พิมพ์ก็จะเป็น รุ่นเอ็กเซอร์เลนท์ด้วย ใช้เวลาอบประมาณ 15 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของยาง ถ้ายางมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาอบนานขึ้น

เมื่อยางได้รับความร้อนจะหลอมเข้าไปอยู่ในแม่พิมพ์ทำให้เกิดร่องยางขึ้น เมื่ออบ เสร็จจึงได้ยางที่มีดอกยาง จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอน การตรวจสอบคุณภาพ เช่น ยาง กลมและมีน้ำหนักตามที่กำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้ง ตรวจสอบค่าถ่วงยาง โดยตรวจสอบดูว่า ยางมีน้ำหนักเท่ากันทุกจุดหรือไม่ เพราะถ้ายางมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ทุกจุดเวลาวิ่งรถจะสั่น เมื่อได้ ยางตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ก็จะจัดเก็บต่อไป

ทุกขั้นตอนมีความสำคัญหมด โดยเฉพาะขั้นตอนแรก เพราะถ้าทำไม่ได้มาตรฐาน ทำไม่ดี ขั้นตอนต่อไปถึงจะทำต่อก็ไม่มีประโยชน์ ผลออกมาก็เป็นยางที่ไม่ได้คุณภาพอยู่ดี ฉะนั้น ต้นน้ำมีความสำคัญ แต่ในทุกขั้นตอนของการผลิตยางจะมีการควบคุม คุณภาพอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มาตรฐานจะเอาออกทันที ไม่ฝืนทำต่อ

“ส่วนยางที่ไม่ได้มาตรฐาน การควบคุมทำได้โดยการตัดแก้มยางออกให้เป็นของเสียก่อนที่จะขาย เพื่อป้องกันคนที่มารับซื้อไปนำไปขายต่อ สำหรับยางเก่าหรือยางที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่านั้น บางรายก็นำไปใช้ที่ท่าเรือเพื่อใช้กันกระแทก บางรายนำไปเผาแล้วขายให้กับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เนื่องจากยางเป็นเชื้อเพลิงที่ดี โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจะเอาไปเผาเพื่อเป็นเชื้อ เพลิง โดยนำความร้อนที่ได้ไปต้มน้ำเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก่อนที่จะนำยางไปเผาจะมีกระบวนการแยกชิ้นส่วนของยางก่อน โดยตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แยกผ้าใบและเหล็กที่อยู่ด้านในออก เพราะไม่ได้เป็นเชื้อเพลิงที่ดี แต่เชื้อเพลิงที่ดีคือ ยางที่เป็นสีดำ ๆ

บางราย นำไปทำเป็นส้นรองเท้า ที่เพาะเลี้ยงกบ ก็มี บางรายนำไปทำเป็นสนามเด็กเล่น โดยการนำไปหลอมใหม่ทำเป็นแผ่น ๆ ไม่ใหญ่มากนำมาวางรองบนพื้นกันกระแทกไม่ให้เด็กหกล้มแล้วเจ็บ รวมทั้งนำไป ทำเป็นกระถางต้นไม้ และปะการังเทียม ตลอดจนนำไปใช้ในสนามแข่งรถเพื่อ กันกระแทกบริเวณขอบสนาม และนำไปทำเก้าอี้นั่ง ซึ่งในต่างจังหวัดจะพบเห็นบ่อย บางรายมีการนำยางไปรีไซเคิลกลับมาเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง แต่มีราคาค่อนข้างสูง ตรงนี้คงต้องมีการศึกษาต่อไป”

อายุของยาง 1 เส้น อยู่ที่ประมาณ 4 ปี หลังจากลงล้อแล้ว ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เมื่อยางหมดอายุหรือต้องการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ ยางที่ไม่ใช้แล้วเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า ยางเก่า หรือ ยางเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะซื้อ-ขายกันในราคาตั้งแต่ 100-800 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพของยาง ไม่มีมาตรฐานกำหนด ที่แน่นอน เช่น ถ้าดอกยางยังลึกอยู่จะขายได้เส้นละ 500-600 บาท ถ้าใช้ไปได้แค่ปีเดียวยางยังอยู่ในสภาพที่ดีก็อาจจะขายได้ถึง 800 บาท

“ที่เรียกว่า ยางเปอร์ เซ็นต์ นั้นในส่วนของผู้ผลิต เวลาร้านค้าส่งยางเข้ามาคืนโดยบอกว่ายางมีปัญหาบางครั้งทางผู้ผลิตก็จะคืนเงินกลับไป ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของหน้ายางที่เขาใช้ไปอย่าง สมมุติว่า หน้ายางมีความหนาอยู่ที่ 5 มิลลิเมตร ราคาเส้นละ 1,000 บาท นั่นคือทุก 1 มิลลิเมตร จะมีค่าเท่ากับ 200 บาท เมื่อนำมาขายตรวจดูแล้วยางเหลือความหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร ก็จ่ายให้ยางเส้นนั้น 400 บาท จึงเรียกว่า ยางเปอร์เซ็นต์ คือ จ่ายตามสภาพยางที่เหลือ หรือความสมบูรณ์ของยางที่เหลืออยู่”

ก้องเกียรติ กล่าวด้วยความห่วงใยว่า ด้านการดูแลยางก็ไม่ควรมองข้าม ลมยาง เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรตรวจเช็กเป็นประจำ เติมลมให้ เหมาะสม ซึ่งโดยปกติ ทางผู้ผลิตจะติดคำแนะนำไว้ตรงบริเวณประตูรถหรือฝาน้ำมัน เพราะ ลมยางที่อ่อนไป เป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของยาง โดยยางด้านนอกจะสึกมากกว่ายางด้านใน และที่มากไปกว่านั้น คือ ความร้อนส่วนเกินจะมากขึ้น ทำให้ยางมีความทนทานน้อยลง ยางที่อ่อนจะทำให้รถทำงานหนัก และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น

ส่วน การสูบลมยางที่มากเกินไป จะทำให้ส่วนกลางของดอกยางรับน้ำหนักของรถมากกว่าส่วนอื่น ทำให้ส่วนนั้นเกิดการสึกมาก กว่าส่วนอื่น ส่งผลให้ยางนั้นมีเสียงและรถสั่นในขณะที่วิ่ง

สำหรับการผลิตยางรถยนต์ในอนาคตกำลังมีการ คิดค้น วิจัย และพัฒนา เทคโนโลยี ในการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากขึ้น.

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รักษาคุณค่า 'พริกแกง' อาหารต้านอนุมูลอิสระ

แนะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์มีตรารับรอง

อาหารไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นเรื่องของความเผ็ดร้อน มาจากพริกเครื่องเทศสมุนไพรนานาชนิด อาหารประเภทแกง ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นหนึ่งในชนิดของอาหารไทยที่บริโภคกันเกือบจะแทบทุกวัน แต่ในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างสำเร็จรูป เครื่องแกงมีขายในรูปของเครื่องแกงสำเร็จรูป สะดวกและถูกกว่าหากวัตถุที่นำมาปรุงต้องซื้อ หามาทั้งหมด ต่างจากในยุคอดีตที่วัตถุดิบบางส่วนปลูกเองที่บ้าน

“เครื่องแกง” ที่วาง ขายในท้องตลาดในยุคปัจจุบัน ไม่น่าไว้วางใจนัก เพราะการผลิตในจำนวนมาก เพื่อ ลดต้นทุน การเก็บรักษาที่ ไม่ถูกต้อง อาจนำโรคภัยมาสู่คนกิน

ดร.เวณิกา เบ็ญจ พงษ์ นักวิจัยฝ่ายพิษวิทยาทางอาหาร และโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล ได้ทำ โครงการวิจัย การประเมินความปลอดภัย และการผลิตเครื่องแกงเผ็ดระดับชุมชนโดยได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดยได้ทำการศึกษาวิจัยด้านการปรับปรุงคุณภาพของการผลิตเครื่องแกงเผ็ดระดับชุมชน เพื่อให้ผู้ผลิตรวมถึงประชาชนทั่วไปสามารถผลิตเครื่องแกงเผ็ดที่มีความปลอดภัย

ดร.เวณิกา กล่าวว่า ในเครื่องแกงมีสมุนไพรและเครื่องเทศที่ส่วนประกอบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า กระชาย มะกรูด รากผักชี และกลุ่มเครื่องเทศได้แก่พริกไทย ลูกผักชี ยี่หร่า ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า หากเลือกใช้วัตถุดิบด้อยคุณภาพในการผลิตและมีสุขาภิบาลการผลิตที่ไม่เหมาะสม จะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้จำนวนจุลินทรีย์เริ่มต้นในเครื่องแกงเผ็ดแดงปริมาณสูง และยังตรวจพบการปนเปื้อนของอะฟลาทอก ซิน แต่ในงานวิจัยชี้ชัดลงได้ว่า หากเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในการผลิต มีการคัดผลเสียทิ้ง และมีระบบการผลิตที่ถูกหลักสุขาภิบาล สามารถลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ลงได้ และยังทำให้เครื่องแกงปนเปื้อนอะฟลาทอกซินต่ำ (ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการเก็บในภาชนะเปิดที่อุณหภูมิห้องนานประมาณ 10 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุกันเสีย ได้คุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำพริกแกง (มผช.129/2546) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำพริกแกง (มอก.429-2548) ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ระหว่างการเก็บรักษา โดยกำหนดปริมาณน้ำอิสระในเครื่องแกงไว้ในมาตรฐานเดียวกัน คือ เครื่องแกงต้องมีปริมาณน้ำอิสระไม่เกิน 0.85 เนื่องจากปริมาณน้ำอิสระในอาหารมีความจำเป็นต่อการเจริญของจุลินทรีย์ การผลิตเครื่องแกงเผ็ดให้ได้ตามมาตรฐานจำเป็นต้องใช้ 2 ปัจจัยร่วมกันในการผลิต คือ การผลิตเครื่องแกงให้มีปริมาณเกลือร้อยละ 10 ร่วม ร่วมกับการนำเครื่องแกงไปผ่านความร้อนโดยการคั่วที่อุณหภูมิประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ซึ่งนอกจากส่งผลให้เครื่องแกงมีปริมาณน้ำอิสระจนลงได้มาตรฐานแล้ว การให้ความร้อนยังเป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในเครื่องแกงต่ำลง เครื่องแกงที่ผ่านกระบวนการผลิตโดยวิธีนี้สามารถเก็บในสภาวะเปิดที่อุณหภูมิห้องได้นานถึง 10 วัน ก่อนที่จะเริ่มมีกลิ่นผิดปกติ อีกทั้งในระหว่างการเก็บรักษาเครื่องแกงยังมีการคงอยู่ของสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์และโพลีฟีนอล โดยพบว่าปริมาณฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล และค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าคงที่ตลอดระยะเวลาการเก็บ 10 วัน

ซึ่งจากผลการวิจัยในห้องแล็บ ได้ถูกนำไปใช้กับกลุ่มแม่บ้านผู้ผลิตในพื้นที่ภาคกลาง 4 แห่ง อาทิ จ.นครปฐม สมุทรสงครามแม้ว่าวัตถุดิบสำหรับปรุงเครื่องแกงสำหรับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับจากการได้รับอะฟลาทอกซิน จากผลการศึกษาการบริโภคเครื่องแกงเผ็ดแดงของประชากรในเขตเมือง (กรุงเทพมหานคร) และในเขตชนบท (สุพรรณบุรี) กลับพบว่าเมื่อนำเครื่องแกงเผ็ดมาปรุงเป็นอาหารกลับพบว่าการบริโภคเครื่องแกงเผ็ดแดงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับในระดับที่ต่ำ และยัง ต่ำกว่าการบริโภคอาหารอื่นที่มีเครื่องปรุงที่มีสารอะฟลาทอกซิน เช่น ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ส้มตำ

อย่างไรก็ตามทำงานวิจัยเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ผู้ผลิตใส่ใจที่จะเลือกวัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพทิ้ง ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งอายุการเก็บที่นานขึ้น ยากต่อการปนเปื้อนของสารเคมี โดยที่ผู้ขายไม่จำเป็นต้องใส่สารกันบูดลงไป อีกทั้งยังช่วยคงสารพฤกษเคมี อาทิ กลุ่มฟลาโวนอยด์ โพลีฟีนอล ไกลโคไวด์ ซัลไฟด์ อัลคาลอยด์ เป็นต้น ซึ่งหลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งบางชนิด ในร่างกาย ยับยั้งการเพิ่มจำนวน และเร่งอัตราการตายของเซลล์มะเร็ง บางชนิด

“ปัจจุบันปัญหาของกลุ่มแม่บ้านที่ผลิตตามคู่มือการผลิตเครื่องแกงเผ็ดระดับชุมชนที่จัดทำโดยสถาบัน ที่มีการบอกถึงวิธีการเลือกวัตถุดิบ การดูแลโรงเรือนและอุปกรณ์ จะมีปัญหาเรื่องต้นทุนที่จะแพงกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ ที่ซื้อวัตถุดิบมาในราคาเท่ากันแต่ผู้ผลิตไม่คัดของเสียทิ้ง แต่นำมาขายในราคาที่ไม่ต่างกัน”

นักวิจัยคนเดิมกล่าวว่า เพื่อให้คนไทยมีเครื่องแกงคุณภาพดีในการบริโภคผู้บริโภคต้องมีส่วนร่วมด้วยการเลือกซื้อเครื่องแกงที่ผลิตตามหลักสุขาภิบาล สังเกตได้จากการแสดงเครื่องหมายรับรองต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนชุมชนที่ผลิตเครื่องแกงเพื่อจำหน่ายขอรับคู่มือการผลิตเครื่องแกงเผ็ดในระดับชุมชนได้ที่สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล (โทร.0-2800-2380 ต่อ 311) ในข้อมูลจะบอกวิธีทำเครื่องแกงที่ปลอดภัยเช่น วิธีล้างพริกแห้ง 1 กิโลกรัมต้องใช้น้ำถึง 4 ลิตร วิธีการเลือกวัตถุดิบต่าง ๆ เป็นต้น

เครื่องแกงเป็นหัวใจหลักของอาหารไทย ถ้าผลิตได้คุณภาพตามมาตรฐาน เท่ากับเป็นภูมิป้องกันให้กับร่างกาย ลบล้างคำนิยามที่ว่าอาหารไทยนั้นกินเป็น “ยา” ออกไปได้.

'ฟองน้ำทะเล' สัตว์มีคุณต่อวงการแพทย์

สกัดสารต้านมะเร็ง

นับเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่มีชัยภูมิที่ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ ยังมีพืชและ สิ่งมีชีวิตอีกจำนวนมากทั้งบนบกในน้ำ ที่รอการวิจัยเพื่อมาต่อยอดในการผลิตยารักษาโรค รวมทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นอีกความหวังของการยืดอายุชีวิตมนุษย์ให้ยืนยาวได้ มีตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจในท้องทะเล อย่างฟองน้ำทะเล ที่ปัจจุบันสามารถสกัดมาเป็นสารต้านมะเร็งได้

สุเมตต์ ปุจฉาการ นักวิชาการด้านหน่วยสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล งานวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลฝ่ายวิจัย สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลมหาวิทยาลัยบูรพา ให้ข้อมูลเรื่องของฟองน้ำทะเลไว้ในเว็บไซต์ไบโอเทค ว่า จัดอยู่ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ถือกำเนิดมาเมื่อ 600 ล้านปีมาแล้ว เชื่อกันว่าฟองน้ำทะเลถือกำเนิดมาจากบรรพบุรุษสัตว์เซลล์เดียวพวกโพรโทซัว ในอดีตเคยครอบครองอาณาจักรพื้นท้องทะเลควบคู่กับปะการัง คาดการณ์ว่าในโลกนี้มีฟองน้ำ 15,000 ชนิด

ฟองน้ำทะเลเป็นสัตว์กินอาหารด้วยการกรอง โดยกรองน้ำผ่านตัวซึ่งสามารถกรองน้ำทะเลได้มากกว่าสิบเท่าของปริมาตรตัวเองภายในหนึ่งชั่วโมง และทำงานต่อเนื่องทั้งเวลากลางวันกลางคืน จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกรองน้ำทะเลให้ใสสะอาดขึ้น และยังเป็นแหล่งอาศัยให้กับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ หลายชนิดเช่น กุ้ง หอย ปู และไส้เดือนทะเล

นักวิชาการด้านหน่วยสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล งานวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลฝ่ายวิจัย กล่าวถึงประโยชน์ของฟองน้ำทะเลเพิ่มเติมว่าเป็นสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยาปัจจุบันฟองน้ำเป็นสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังให้ความสนใจมาก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เกาะติดอยู่กับที่แต่แทบจะไม่มีศัตรูมารบกวน จึงสันนิษฐานว่าฟองน้ำน่าจะสร้างอาวุธทางเคมีที่ไม่พึงปรารถนากับสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ อาวุธทางเคมีเหล่านี้คือแหล่งสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทะเล (Marine natural products) ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านการศึกษาวิจัย การแพทย์และเภสัช นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าฟองน้ำบางชนิดเลี้ยงแบคทีเรียไว้เป็นอาหารของตนเองในระบบท่อน้ำแล้วสร้างสารต้านจุลชีพขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารของตนถูกทำร้ายหรือถูกแก่งแย่งแข่งขันจากแบคทีเรียชนิดอื่นที่ไม่พึงประสงค์ ความสามารถนี้จึงถูกยกย่องว่าเป็น “นักเกษตรกรรมยุคแรกของโลก”

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไทยได้สกัดสารที่เป็นประโยชน์ในฟองน้ำทะเลออกมาได้แล้วในรูปของสารต้านมะเร็ง ดร.พูนศักดิ์ พลอยประดิษฐ์ และคณะผู้วิจัยห้องปฏิบัติการเภสัชเคมี สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการศึกษาเรื่องสารในกลุ่มลาเมลลาริน ซึ่งเป็นสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากทะเล ที่พบได้ใน เพรียง และ ฟองน้ำบางชนิด งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างที่มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารที่ แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งที่ดี แต่มีปริมาณน้อยในธรรมชาติ ทั้งนี้การศึกษาการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของสารดังกล่าว เพื่อให้ได้สารที่มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา รวมทั้งคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหมาะสมจำเป็นต้องใช้กระบวน การสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้การศึกษาการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของสารดังกล่าว เพื่อให้ได้สารที่มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา รวมทั้งคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหมาะสมจำเป็นต้องใช้กระบวนการสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวต้องใช้สารในปริมาณมากขึ้น ซึ่งไม่สามารถพึ่งพาธรรมชาติเป็นแหล่งสารเพียงอย่างเดียว อีกทั้งการสังเคราะห์สารขึ้นมาทั้งหมดโดยไม่ใช้สารจากธรรมชาติเลย ยังเป็นแนวทางสำคัญในการวิจัยและพัฒนาสารที่มีศักยภาพในการใช้เป็นยาได้ โดยรบกวนระบบนิเวศน้อยที่สุด

นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและฤทธิ์ต้านมะเร็ง รวมทั้งคุณสมบัติเชิงเคมีกายภาพของสารในกลุ่มลาเมลลารินอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสารสังเคราะห์หลายชนิด แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดีในห้องปฏิบัติการ และมีศักยภาพในการศึกษาและพัฒนาเป็นสารต้านมะเร็งได้ในอนาคต

จากความสนใจในการศึกษาและพัฒนาสารที่มีศักยภาพใช้ต้านมะเร็งและรายงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่พบว่าสารในกลุ่มฟลาวานอยด์เป็นสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชหลายชนิดซึ่งแสดงฤทธิ์ทางชีวภาพที่หลากหลาย เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และที่สำคัญคือฤทธิ์ต้านมะเร็ง

นับเป็นความก้าวหน้าของวงการแพทย์ในการเยียวยามะเร็งโรคภัยที่ทำให้ผู้คนบนโลกเสียชีวิตในอันดับต้น แต่สำหรับการเยียวยาของมะเร็งในปัจจุบันวิธีการรักษาต้องใช้ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือกผสมผสานกันไป ตัวอย่างของการเยียวยาผู้ป่วยมะเร็ง อีกรูปแบบที่ดำเนินการภารกิจหนึ่งของศูนย์มะเร็งจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ครอบคลุมพื้นที่ 9 จังหวัดอีสานตอนล่างรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว เวียดนามแล้ว ศูนย์มะเร็งจังหวัดอุบลราชธานียังทำงานด้านดูแลจิตใจของผู้ป่วยด้วย เพราะเชื่อว่าหากสุขภาพจิตดี สุขภาพกายย่อมหายจากป่วยไข้ได้

นายแพทย์ถวิล กลิ่นวิมล ผู้อำนวยการ ศูนย์มะเร็ง จังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช.ได้ดำเนินการเรื่องศูนย์มิตรภาพบำบัดร่วมกับเครือข่ายผู้ป่วย และโรงพยาบาลทั่วประเทศจนทำให้ ขณะนี้มีศูนย์มิตรภาพบำบัด 17 แห่งทั่วประเทศ โดยศูนย์มะเร็งจังหวัดอุบลราชธานีก็จัดเป็นศูนย์มิตรภาพบำบัด 1 ใน 17แห่ง ที่ดำเนินการขึ้นตามเจตนารมณ์ของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช.ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องมิตรภาพบำบัด

นางชลิยา วามะลุน รองผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจบริการวิชาการ ศูนย์มะเร็ง จังหวัดอุบล ราชธานี กล่าวว่า โครงการ “มิตรภาพบำบัดจิตอาสา ภารกิจเพื่อเพื่อน ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” ซึ่งทางศูนย์มะเร็งฯได้นำเรื่องสุนทรียสนทนาหรือการบำบัดผ่านการพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างผู้ป่วย แพทย์ พยาบาล มาใช้เพื่อให้คนไข้ได้พูดคุยและระบายความรู้สึกให้มากที่สุด โดยเจ้าหน้าที่มีหน้าที่คอยรับฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจ และรับรู้ความต้องการของคนไข้ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 โดยทำเป็นงานวิจัย พบว่า เจ้าหน้าที่ พยาบาล หมอ มีความเข้าใจคนป่วยมากขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างไม่เป็นทุกข์ ได้ช่วยเหลือตรงตามความต้องการ และต่างรู้สึกมีคุณค่าในการได้ช่วยเหลือ ได้เข้าใจ ทำให้การทำงานดูแลรักษาคนป่วยเป็นไปได้ดี

สำหรับกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างกำลังใจ เช่น การทำบายศรีสู่ขวัญ การแนะนำด้านอาหาร การปรับปรุงพฤติกรรม และการออกกำลังกาย พร้อมกันนี้ยังเปิดรับอาสาสมัคร หรือจิตอาสา เพื่อช่วยเหลือดูแลด้านจิตใจให้แก่ผู้ป่วยเพื่อผู้ป่วยด้วยกันเอง

จากงานวิจัยต่อเนื่องมาถึงโครงการมิตรภาพบำบัดจิตอาสา แสดงให้เห็นถึงความเพียรพยายามของมนุษย์โลกที่จะรับมือกับโรคร้ายอย่างมะเร็งให้ถึงที่สุด.

โศกนาฎกรรมของราชวงศ์ 'โรมาน็อฟ'

17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย พร้อมด้วยมเหสีและลูก ๆ อีก 5 คน ถูกประหารชีวิต แต่ไม่มีใครพบพระศพ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1991 หลุมศพถูกเปิด ทว่าศพของเด็ก 2 คนกลับหายไป นั่นจึงทำให้เป็นที่มาของข่าวลือว่าทั้งสองหนีไปได้ และอาจจะสืบทอดสายเลือดของราชวงศ์โรมาน็อฟต่อมา

ต้นศตวรรษที่ 20 ราชวงศ์โรมาน็อฟเป็นศูนย์กลางของชีวิตชาวรัสเซีย โดยมีพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 เป็นจักรพรรดิตั้งแต่ปี ค.ศ.1894 ชนชั้นชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของรัสเซียในเวลานั้นเทิดทูนพระองค์อย่างมาก แต่สิ่งที่ตรึงความนิยมที่มีต่อราชวงศ์โรมาน็อฟ ก็คือ โอรสและธิดาผู้งดงามทั้ง 5 พระองค์โอลก้า ทาทิอาน่า มาเรีย อะนาสตาเซีย 4 พระธิดาผู้งดงาม และอเล็กซี่ องค์ชายเล็กผู้เป็นรัชทายาท

ทั้งหมดพำนักอยู่ในพระราชวังฤดูหนาว ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พระราชวังฤดูหนาวเป็นที่พำนักไม่ธรรมดาสำหรับอยู่และเติบโต ที่นั่นมีใบไม้ทองคำเป็นเอเคอร์ และหินอ่อนล้อมรอบเป็นไมล์

ปี ค.ศ.1914 รัสเซียเริ่มระส่ำระสายหลังจากเยอรมนีประกาศสงคราม ภายในเวลา 1 ปี คนรัสเซียประมาณ 1.5 ล้านคน ถูกฆ่าตายและบาดเจ็บ ทุกความล้มเหลวของเครื่องจักรสงครามของรัสเซียสะท้อนกลับไปถึงรัฐบาลรัสเซียซึ่งที่จริงก็คือ นิโคลัส พระองค์ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบให้คนเห็น

ทว่าขณะที่ความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้น ผู้คนในมหานครกำลังอดตาย มีรายงานเรื่องความวุ่นวาย แต่พวกโรมาน็อฟยังคงบังเงาความรื่นรมย์ของชีวิตจากความไม่น่าดูที่กลั่นตัวนอกพระราชวัง

กุมภาพันธ์ ค.ศ.1917 หลายปีในสงคราม ราชวงศ์โรมาน็อฟเผชิญศัตรูผู้มาประชิด ผู้ยุแหย่ทางการเมืองได้ฉวยโอกาสและลงมือ “ปฏิวัติรัสเซีย” พวกโรมาน็อฟอพยพไปยังพระราชวังอเล็กซานเดอร์ 27 กม.ทางใต้ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ขณะรัฐบาลเฉพาะกาลเข้าควบคุมประเทศที่กำลังโกลาหล

เดือนตุลาคมปีเดียวกันพรรคบอลเชวิก นำโดย วลาดิเมียร์ เลนิน เข้ายึดอำนาจ กลุ่มบอลเชวิกเป็นพวกยึดมั่นในหลักของการปฏิวัติ ซึ่งต่อต้านและเกลียดชังระบอบขุนนางเข้ากระดูกดำและโดยเฉพาะนิโคลัส ดังนั้นซาร์กับครอบครัวจึงถูกนำตัวไปยังที่มั่นของบอลเชวิกที่ เอ แคทเทอ รินเบอร์ก ในยูราล ห่างไปกว่า 1,700 กม. จากพระราชวังเดิม

“นั่นเป็นที่สุดท้ายบนโลกนี้ที่ข้าพเจ้าจะต้องการไป ข้าพเจ้ารู้ว่าประชาชนที่นั่นต่อต้านข้าพเจ้าอย่างมาก” นิโคลัสตรัส

บ้านหลังนั้นมีการอารักขาอย่างเข้มงวด ครอบครัวโรมาน็อฟตกเป็นนักโทษภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการหัวรุนแรงยาค็อฟ ยูร็อฟสกี้ นักปฏิวัติผู้ทุ่มเท นอกจากคอยดูแลเวรยามแล้วเขามีหน้าที่เตรียมการประหาร

ประมาณตี 2 วันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ทหารยามแจ้งพวกครอบครัวโรมาน็อฟว่า พวกเขาต้องย้ายลงไปห้องใต้ดิน คนของยูร็อฟสกี้มารวมพลในห้องข้าง ๆ เพื่อบรรจุกระสุนและเตรียมอาวุธ ยูร็อฟสกี้ สั่งให้ทั้งครอบครัวอยู่รวมกันเพื่อถ่ายรูปเหมือนกับที่พวกเขาเคยถ่ายมาแล้วนับไม่ถ้วน ลูกสาวเบียดตัวชิดกับแม่ พระเจ้าซาร์อยู่ข้างลูกชาย ผู้ที่จับพวกเขามาตั้งแถวเบื้องหน้า
ยูร็อฟสกี้ อ่านบทสรุปและแถลงการณ์สั้น ๆ ว่า เป็นที่ตัดสินแล้วว่านิโคลัสต้องถูกประหารชีวิต ทั้งครอบครัวอยู่ในสภาพไม่เชื่อ นิโคลัสโชคดีที่ทรงสิ้นพระชนม์ทันที แต่ส่วนมากที่เหลือไม่ใช่ พวกเขาทรมานอย่างสาหัสมีเสียงหวีดร้อง ควัน และไม่มีใครเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไร กระสุน 103 นัด ถูกยิงออกไปยังพวกเขาแบบไม่ได้เล็ง

บอลเชวิกไม่ต้องการให้มีการกู้ศพขึ้นมาถวายพระเกียรติจากผู้อาลัยรักพระเจ้าซาร์ผู้สละชีพ จึงต้องกำจัดซากศพแบบไม่ให้เหลือร่องรอย ศพที่โชกเลือดถูกนำไปในป่าลึกและถูกนำลงจากรถบรรทุกเพื่อฝังตามจุด แต่เพราะเวลาที่ล่วงจนใกล้รุ่งเช้า ยูร็อฟสกี้กับคนของเขาเกรงว่าจะมีใครรู้ ศพจึงถูกโยนลงไปในหลุมโดยไร้พิธีฝังใช้กรดโรยทับแล้วจุดไฟเผาอย่างเร่งรีบ

การรื้อหลุมศพขึ้นใหม่ในป่าไกลโพ้นใกล้เมือง เอ แคท เทอ ริน เบอร์ก ในปี ค.ศ.1991 นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์เศษกระดูกที่ขุดขึ้น มาได้เพื่อหาดีเอ็นเอ เศษกระดูกที่พบมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกันทางครอบครัว ระหว่างกระดูกที่เชื่อว่าเป็นของนิโคลัส และกระดูกที่เชื่อว่าเป็นของอเล็กซานดร้าและพระธิดาทั้งสาม

7 ปี หลังจากกระดูกของพวกเขาถูกขุดขึ้นมา ซาร์ นิโคลัสที่ 2 และสมาชิกในครอบครัว 4 พระองค์ ถูกฝังไว้ ณ ป้อม พอล แอนด์ แมรี่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมกับพระศพของสมาชิกราชวงศ์ซาร์ทุกพระองค์ นับแต่ปีเตอร์มหาราชทรงสร้างนครนี้ขึ้นมา

ครอบครัวโรมาน็อฟ ถูกประกาศให้เป็นนักบุญ แต่มี 2 หลุมที่ยังคงว่างอยู่สำหรับ อเล็กซี่ เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทและ อีกหลุมเป็นของพระธิดาถ้าไม่ใช่มาเรีย ก็เป็น อะนาสตาเซีย

เดือนกรกฎาคม ค.ศ.2007 ในที่สุดก็มีการพบหลุมฝังแห่งที่ 2 ห่างจากหลุมแรกไปเพียง 60 เมตร กระดูกถูกสับจนขาดแล้วเผา เหลือเพียง 44 ชิ้นที่ให้เบาะแสได้ กระดูกเหล่านั้นเป็นของเด็กผู้ชาย 1 คน อายุ 12-15 ปี และเด็กผู้หญิง 1 คน อายุ 17-19 ปี การพิสูจน์จากดีเอ็นเอเริ่มต้นอีกครั้ง

กุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 หลังจากมีการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เศษกระดูกของลูกโรมาน็อฟที่หายไป 2 คนนั้นระบุตัวได้แล้ว ความหวังที่ว่าจะมีใครเหลือรอดจบลงทันที

ฟิล์มที่หายไปในสงครามโลกครั้งที่ 2

พฤษภาคม ปี ค.ศ.1939 ผู้อพยพวัย 19 ปี แจ๊ค วอร์เนอร์ หรือชื่อเดิมว่าฮันส์ วอร์เนอร์ ออกเดินทางจากออสเตรียประเทศบ้านเกิดด้วยการขับรถข้ามไปยังฮอลลีวูด แคลิฟอร์เนีย ที่ที่เขาหวังว่าจะได้เข้าสู่ธุรกิจภาพยนตร์ ขณะที่ประเทศบ้านเกิดยอมรับความสุดขอบของนาซี อเมริกาจึงเป็นความหวังใหม่สำหรับชีวิตใหม่ที่กำลังเริ่มต้น

“ผมจำได้ ตอนที่อยู่ในออสเตรีย หลังจากฮิตเลอร์เข้ามายึดครองได้ไม่นาน กฎหมายต่อต้านคนยิวทั้งหมดก็มีผลทันที เราไม่ได้ถูกมองเป็นประชาชนอีกต่อไป ภายใน 1 สัปดาห์ พ่อผมถูกไล่ออกจากงาน บัญชีธนาคารของเราถูกยึด ไม่มี ใครช่วยเราได้เลย แล้วจากนั้นวันหนึ่งผมตื่นมา แต่เช้าตรู่ นอกหน้าต่างมีชายคนหนึ่งร้องเพลงจากฮอสเฟสเซิ้ลหลีด เพลงประจำพรรคนาซี”

เนื้อร้องของเพลงที่ว่า “เมื่อเลือดของชาวยิวหลั่งจากปลายมีดของเรา ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” ตอนนั้นเริ่มมีคนเดินตามถนนแต่ไม่มีใครพูดอะไร แต่วินาทีนั้นฮันส์หรือแจ๊คในวันนี้ก็ตัดสินใจว่าเขาต้องไปจากที่นี่ แจ๊คเดินทางผ่านเทือกเขาแอลป์มุ่งตรงสู่อเมริกา

ขณะที่ยุโรป 3 ใน 4 กำลังเผชิญกับอานุภาพอันร้ายกาจของฝูงบินนาซี อเมริกากลับยังมองดูเพียงห่าง ๆ หลายคนคิดว่าเป็นปัญหาของยุโรป คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ยังจดจำความสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไม่ อยากเข้าร่วมสงครามอีก แต่ประธานาธิบดีอย่าง แฟรงคลิน โรซาเวลล์ พยายามโน้มน้าวพวกเขา ไปอีกทาง

16 กันยายน ค.ศ.1940 โรซาเวลล์ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเรื่องทางทหารในยามสันติ ฉบับแรกขึ้นในประวัติศาสตร์อเมริกัน ชายชาตรีอายุ ระหว่าง 21-30 ปี จะต้องเข้ารับราชการทหาร แม้รัฐสภาจะผ่านกฎหมายฉบับนี้ แต่มันยังถูกเรียกว่า มาตรการเพื่อป้องกันประเทศ ทหารที่ถูกเรียกตัว จะถูกส่งไปปกป้องเขตแดนที่อเมริกายึดครองเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันเลวร้าย ที่เกิดขึ้นในยุโรป ผู้อพยพอย่างแจ๊ค จึงเปลี่ยนไปสมัครเป็นทหาร

ในขณะนั้นกองทัพสหรัฐมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก และเกือบ 2 ใน 3 ของทหารอเมริกันที่เข้ามาใหม่ไม่เคยแม้แต่จะยิงปืนไรเฟิล

“มันน่าตกใจที่รู้ว่าเราไม่พร้อมเลยครับ ทุกคนไร้ประสบการณ์ ยังเดินไปทั่วพร้อมกับไรเฟิล-สปริงฟิลด์ และหมวกเหล็กสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงศตวรรษที่ 20 แล้วพวกเขา ยังคิดจะสู้สงครามกับศัตรูที่เพียบพร้อมด้วยอาวุธกับอุปกรณ์แบบนี้”

ฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1941 ฮิตเลอร์คือเจ้า แห่งทวีปยุโรปโดยสมบูรณ์ กองกำลังของเขา พิชิต 11 ประเทศและปกครองคนกว่า 70 ล้านภายใต้ธงนาซี ในเกือบทุกประเทศที่พิชิตได้กอง กำลังวัฟเฟน เอสเอส จากพรรคนาซีของฮิตเลอร์และกองทัพเยอรมันธรรมดาจะใช้นโยบายกดขี่ และการสังหารหมู่

จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหาร อีกครั้ง ทั้งหมดตกลงที่จะปกป้องผลประโยชน์ ร่วมกัน ฝ่ายอักษะพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนโลก แล้วอเมริกาก็ต้องเข้าร่วมในสงครามอย่างเลี่ยง ไม่ได้เมื่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพญี่ปุ่น

4 วันหลังการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐมันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฮิตเลอร์ประกาศสงครามกับประเทศอื่น ขณะนั้นสงครามในยุโรปและเอเชียได้ผสานรวมกันเป็นสงครามหนึ่งเดียว สงครามครั้ง ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ความตื่นกลัวกระจายไปทั่วสหรัฐเมื่อคนอเมริกันตระหนักว่ามีศัตรูอยู่ 2 ฟากชายฝั่ง แต่ที่โดดเด่นกว่าความกลัวก็คือ ความรักชาติและความโกรธแค้น 30 วันหลังถูกโจมตีชายหนุ่มกว่า 134,000 คนก็ได้เข้าร่วมเป็นทหาร ระหว่างนั้น กองทัพอเมริกันมีเพียง 5 แสนคน

เพื่อป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์นานหลายเดือน ผู้นำทหารสหรัฐก็ตระหนักว่าสถานการณ์เริ่มสิ้นหวัง อเมริกาไร้กำลังที่จะส่งกองหนุน นายพลผู้บัญชาการ ดักลาส แมคอาเธอร์ ได้รับคำสั่งให้อพยพออกมาในช่วงกลางคืนโดยทิ้งทหารไว้ ทหารอเมริกันและฟิลิปปินส์กว่า 76,000 คนถูกจับเป็นเชลยโดยทหารญี่ปุ่นที่คาบสมุทร บาทาน

แล้วเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ณ กัวดาคาแนล เกาะป่าห่างไกลที่ปลายสุดตอนใต้ของหมู่เกาะโซโล มอนกองทัพอเมริกันที่เสียหายหนักใช้เรือลาดตระเวนเก่า ๆ มาเป็นเรือขนส่ง ทหารขาดประสบ การณ์กว่า 10,000 นายเพื่อไปยังเกาะที่ญี่ปุ่น ได้สร้างสนามบินไว้ ซึ่งหากมันเสร็จสมบูรณ์อังกฤษที่อยู่ในแปซิฟิกจะถูกแยกให้โดดเดี่ยวเพื่อให้ญี่ปุ่น ได้เข้ารุกราน

เมื่อได้รับคำสั่งให้ยกพลขึ้นบก พวกเขาพบแต่ความเงียบ บางคนคิดว่าญี่ปุ่นคงโง่ที่ไม่เตรียมการป้องกัน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ทหารค่อย ๆ เคลื่อนผ่านป่าดงดิบมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย สนามบิน ที่ยังไม่แล้วเสร็จลึกเข้าไปในแผ่นดินไม่ถึง 1 ไมล์ แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง พลปืนของญี่ปุ่นที่ซุ่มพรางอยู่ในป่าอย่างเชี่ยวชาญเริ่มยิงเข้าใส่ทหารเหล่านั้น

“มีนักแม่นปืนอยู่ทุกแห่ง ทุกที่ ชายคนหนึ่งล้มลงหลังถูกยิงที่ขา ไม่มีใครเห็นคนที่ยิง ตอนนี้ เรากำลังเจอกับนรกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนกลางคืนที่นี่เป็นเกาะของญี่ปุ่นซึ่งพวกเขารู้จักมันอย่างดี เราขุดหลุมลงไปในดินที่เหลวเละ ทุกคนกระสับกระส่าย พวกยามคอยยิงเมื่อได้ยินเสียง”

เมื่อถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักทหารญี่ปุ่นยอมทิ้งสนามบินที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมแพ้ ห่างไป 600 ไมล์ทางเหนือ ญี่ปุ่นตอบโต้อย่างหนักหน่วงทิ้งระเบิดใส่กองเรืออย่าง บ้าระห่ำขณะที่บางส่วนออกจากกัวดาคาแนล เช้าวันรุ่งขึ้นนาวิกโยธินที่อยู่บนฝั่งก็ไม่เห็นอะไรนอกจากซากเรือและมหาสมุทรที่ว่างเปล่า

'คิงทัต' เป็นลูกของใคร ???

ปี ค.ศ. 1922 อุโมงค์ของตุตันคามุนหรือคิงทัต ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาฟาโรห์ยุคโบราณทั้งหมด ถูกค้นพบ และได้รับการยกย่องว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของวงการโบราณคดี ฟาโรห์องค์นี้นอนสงบอยู่ในโลงทอง แวดล้อมด้วยความมั่งคั่งเกินจะจินตนาการ และห่อหุ้มด้วยความลี้ลับ

เป็นเวลา 40 ปีแล้วที่ ดร.ซาฮี ฮาวาส เลขาธิการคณะกรรมการสูงสุดด้านโบราณวัตถุของอียิปต์ ทุ่มเทสืบค้นและปะติดปะต่อปริศนาของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังไม่สามารถไขความลับเรื่องครอบครัวของคิงทัตได้ ไม่มีใครรู้ว่าพระราชบิดาและพระราชมารดาที่แท้จริงของชายหนุ่มหน้ากากทองคำผู้นี้คือใคร

การพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดด้วยการตรวจหาดีเอ็นเอถูกนำมาใช้กับอดีตฟาโรห์อายุกว่า 3,300 ปี แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ดร.ซาฮีและทีมงานยังต้องตามหาว่าควรจะเปรียบเทียบดีเอ็นเอกับใคร ข้อมูลที่มีอยู่คือ คิงทัตมีชีวิตอยู่ในอียิปต์โบราณระหว่างยุคที่เรียกว่ายุคอามาร์นา ประมาณ 1,350 ปีก่อนคริสตกาล แต่มันเป็นช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์มากมายได้หายสาบสูญไปตลอดกาล

ขั้นตอนแรกคือการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของคิงทัต ทีมงานเตรียมทำการตัดชิ้นเนื้อเยื่อของศพอายุ 3,300 ปี แต่มัมมี่ร่างนี้อยู่ในสภาพเปราะบางและมีรอยแตกร้าว เพราะคณะนักโบราณคดีที่พบมันครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกเขาต้องสวมเสื้อกาวน์ หน้ากาก และถุงมือเพื่อป้องกันการปนเปื้อนดีเอ็นเอของทีมงาน

พวกเขาเลือกจุดหนึ่งที่กระดูกขาของคิงทัต ซึ่งคาดว่าอาจจะ มีดีเอ็นเออยู่ในไขกระดูก คิงทัตเพิ่งอายุ 19 ปีตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์ กระดูกของพระองค์ก็ยังอายุน้อยและแข็งซึ่งยากต่อการเก็บตัวอย่าง แต่ในที่สุดเวลาสองชั่วโมงครึ่งกับ 15 ตัวอย่างก็ผ่านพ้นไป ก่อนจะส่งต่อไปยังห้องแล็บในกรุงไคโร

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เริ่มก็พบว่าอาจมีบางสิ่งผิดพลาด สีที่ดูแปลกอาจหมายความว่ามันถูกปนเปื้อนและอาจจะให้ดีเอ็นเอที่ไม่ดีพอ

ขณะที่การสืบค้นจากดีเอ็นเอกำลังดำเนินไป เหนือขึ้นไปตามแม่น้ำไนล์ มีกลุ่มประติมากรรมโบราณยุคของตุตันคามุนตั้งตระหง่านขึ้นมาจากพื้นดิน และภายใต้ร่มเงาของอนุสาวรีย์ใหญ่แห่งเมมนอน นักโบราณคดีกำลังดูแลการขุดสำรวจครั้งใหญ่ที่สุดในอียิปต์

ในยุคนี้มีฟาโรห์ 3 องค์ที่ครองราชย์ก่อนคิงทัต อาเมนโฮเตป ที่ 3 ฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจ รัชสมัยของพระองค์เป็นการเบิกทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่, สเมงห์กาเร เรื่องราวส่วนใหญ่ของพระองค์ยังคงเป็นปริศนา เพราะรัชสมัยของพระองค์สั้นและไม่โดดเด่น และอาเคนาเตน ฟาโรห์หัวรุนแรงซึ่งย้ายเมืองหลวงและบัญชาให้นับถือศาสนาใหม่ ฟาโรห์หนึ่งในสามองค์นี้อาจเป็นพระราชบิดาของคิงทัต

ดร.ซาฮีและทีมงานเริ่มต้นตรวจสอบจากมัมมี่ของอาเมนโฮเตป ที่ 3 ก่อนจะทำการสืบค้นเรื่องฟาโรห์องค์ที่สอง สเมงห์กาเรผู้ลึกลับ นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าพระองค์เป็นตัวเลือกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะทรงครองราชย์ก่อนตุตันคามุนไม่นาน มัมมี่ของพระองค์หายสาบสูญไป แต่วัตถุซึ่งจารึกชื่อที่ใช้ในการครองราชย์ของสเมงห์กาเร ได้ถูกพบในอุโมงค์ของคิงทัตหลายชิ้น นักวิชาการบางคนยังเชื่อด้วยว่าใบหน้าของสเมงห์กาเรนั้นอยู่บนโลงทองหนึ่งในสามใบซึ่งพบในอุโมงค์ของตุตันคามุน แต่ก็ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ชัดเจน

ดร.ซาฮี จึงหันความสนใจไปยังผู้ต้องสงสัยรายที่สาม อาเคนาเตน และหลักฐานในใจกลางทะเลทรายฝั่งตะวันออกของอียิปต์ ห่างจากกรุงไคโรไปทางทิศใต้ 320 กิโลเมตร ที่ซากปรักหักพังของเมือง อามาร์นา เมืองของอาเคนาเตน และเคยเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ในช่วงเวลาสั้น ๆ

ที่นี่อักษรอียิปต์โบราณที่ถูกสลักไว้เมื่อกว่าสามพันปีที่แล้วบรรยายลักษณะการปฏิวัติของจักรวรรดิอาเคนาเตน ฟาโรห์ผู้นี้โค่นล้มศาสนาเดิมที่ให้คนกราบไหว้อามุน และบัญชาว่าเทพเจ้าแท้มีองค์เดียวคืออาโตน สุริยเทพ จากนั้นพระองค์ก็ร่วมกันสร้างอียิปต์ใหม่กับมเหสีของพระองค์ คือเนเฟอร์ตีติ ราชินีผู้โด่งดัง แต่ที่นี่ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ในวงศ์ตระกูลระหว่างฟาโรห์สองพระองค์

ห่างจากอามาร์นาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 24 กิโลเมตร มีซากปรักหักพังของวิหารแห่งหนึ่ง ครั้งหนึ่งซาฮีเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับแท่งหินเล็ก ๆ ซึ่งพบที่นี่และมันบ่งชี้ว่าอาเคนาเตนเป็นพระราชบิดาของคิงทัต เดิมทีแท่งหินนี้ได้ถูกตรวจสอบโดยคณะนักโบราณคดีเยอรมัน ในโกดังซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่มีใครเคยเห็นมันอีกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในที่สุดก็พบข้อความจารึกว่า “โอรสของกษัตริย์จากพระวรกายของพระองค์ ผู้เป็นที่รักของพระองค์ ตูตันคูอาเตน” แต่ไม่มีใครเคยพบมัมมี่ของอดีตฟาโรห์พระองค์นี้

ดร.ซาฮีกลับไปค้นหาความลับจากมัมมี่ปริศนาที่ถูกพบในอุโมงค์ 55 ประติมากรรมเล็ก ๆ ซึ่งพบอยู่ข้างมัมมี่ปริศนาร่างนี้ หลายชิ้นมีรอยคาร์ทูช หรือตราประทับกษัตริย์ของอาเคนาเตน แต่สิ่งที่ยืนยันว่ามัมมี่ไร้นามร่างนี้อาเคนาเตนก็คือ แผ่นทองคำบริสุทธิ์ในโลงศพซึ่งสลักข้อความไว้ว่า วา-อา-เอน-รา อีกชื่อหนึ่งของอาเคนาเตน

เพื่อพิสูจน์ว่าร่างนี้เป็นมัมมี่ของอาเคนาเตนจริง จึงต้องพึ่งการตรวจหาดีเอ็นเอโดยเปรียบเทียบกับมัมมี่ของอาเมนโฮเตปที่ 3 ผู้เป็นบิดา และเมื่อนักวิทยาศาสตร์ใช้ความพยายามจนสามารถแยกดีเอ็นเอของคิงทัตออกมาได้ พวกเขาก็พบความเชื่อมโยงทางสายเลือด อาเคนาเตนคือพระราชบิดาของตุตันคามุนอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จะใช้ความพยายามอย่างหนักจนสามารถพิสูจน์ได้ว่า สตรีอายุน้อยกว่าหนึ่งในสองจากอุโมงค์ KV35 คือพระราชมารดาของคิงทัต แต่ ดร.ซาฮีก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเธอเป็นใคร ระหว่างมุดเนดจ์เมต น้องสาวของเนเฟอร์ตีติ หรือกียา พระมเหสีองค์ที่สองของอาเคนาเตน

เคที เพอร์รีย์

สาวฮอตแม็กซิม 2010

แม็กซิม นิตยสารชื่อดังจัดอันดับ 100 สาวฮอตประจำปี 2010 โดยปีนี้ เคที เพอร์รีย์ นักร้องสาวสุดเซ็กซี่ พาหุ่นสวยทรงโตขึ้นอันดับหนึ่งสาวฮอตที่สุด แซงหน้าสาวเซ็กซี่แชมป์เก่าอย่างเมแกน ฟ็อกซ์ ไปอย่างขาดลอย

เคที เพอร์รีย์ นักร้องสาววัย 25 ปี คู่หมั้นของรัสเซลล์ แบรนด์ นักแสดงตลกชื่อดังชาวอังกฤษ ที่เตรียมจะออกอัลบั้มใหม่ซัมเมอร์นี้ ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นสาวฮอตที่สุดของนิตยสารแม็กซิม ซึ่ง โจ เลวี บรรณาธิการของแม็กซิม ได้กล่าวถึงนักร้องสาวคนนี้ว่า “มันเป็นความรู้สึก เมื่อคุณตระหนักได้ว่า คนที่ฉลาดที่สุด ตลกที่สุด เจ๋งที่สุด ปรากฏอยู่ในตัวของผู้หญิงสวยมาก แถมยังเป็นนักสเกตบอร์ดขั้นเทพอีกต่างหาก ทันใดนั้นคุณก็หลงใหลในดาวดวงนั้น และนี่คือดาวเคที ที่ทำให้ทุกคนหลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้น”

เคที เพอร์รีย์ หรือแคเธอรีน ฮัดสัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมปี 2527 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน ซิงเกิ้ลแรกของเธอในปี 2551 คือ ไอ คิส อะ เกิร์ล เป็นเพลงฮิตดังไปทั่วโลก สามารถติดอันดับ 1 บนชาร์ตซิงเกิ้ลของบิลบอร์ด 100 และยูเคซิงเกิ้ลชาร์ต โดยสไตล์การร้องเพลงของเธอ ได้รับแรงบันดาลใจจากซินดี้ ลอเปอร์, โจแอน เจ็ตต์ และสำเนียงการร้องแบบมาเรีย เฟร็ดริกส์สัน นักร้องนำวงร็อกเซ็ตต์

ส่วนที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ได้แก่บรูคลิน เดคเกอร์ นางแบบสาวสวยที่เพิ่งถ่ายแบบชุดว่ายน้ำขึ้นปก สปอร์ต อิลลัสเตท สวิมสูท อิสชู ของปีนี้ และอันดับที่ 3 ตกเป็นของโซอี ซัลดานา นางเอกสาวจากเรื่องอวตาร อันดับ 4 คือเบลค ไลฟ์ลีย์ นักแสดงสาวจากเรื่องกอสซิป เกิร์ลส์

ด้าน เมแกน ฟ็อกซ์ หล่นไปอยู่อันดับที่ 5 แต่ถึงกระนั้นแม็กซิม ยังคงยกให้เธอเป็นสาวเซ็กซ์ ซิมโบลแห่งยุค สำหรับสาว ๆ ที่ไม่ติด 5 อันดับแรกมีทั้งรีฮันนา นักร้องสาวชื่อดัง อลิซาเบธ คานาลิส แฟนสาวของพระเอกรุ่นใหญ่จอร์จ คลูนีย์ และมาริสา มิลเลอร์ นางแบบสาวชื่อดัง ตลอดจนโอลิเวีย มุนน์ กับ คิม คาร์เดเชียนรวมทั้งสการ์เล็ต โจแฮนส์สัน

ขณะที่ แชมป์เก่าปีที่แล้วอย่างโอลิเวีย ไวล์ด หล่นไปอยู่อันดับที่ 20 ตามมาด้วยเทย์เลอร์ สวิฟท์ และเจสสิกา บีล ที่ตามมาในอันดับ 31 และ 32 ส่วนแองเจลิน่า โจลี คุณแม่ลูก 6 สุดเซ็กซี่ ก็อยู่ในอันดับที่ 38 และบริทนีย์ สเปียร์ส อยู่อันดับที่ 54.

เจมมา อาร์เทอร์ตัน : เจ้าหญิงลึกลับ

สร้างชื่อไว้ก่อนหน้านี้ ในฐานะสาวบอนด์กับภาพยนตร์ดังเจมส์ บอนด์ 007 ตอนพยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลกสำหรับ เจมมา อาร์เทอร์ตัน และต่อมาเธอก็ร่วมแสดงในหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง สงครามมหาเทพประจัญบาน ล่าสุด เธอกำลังจะมีผลงานเข้าฉายบ้านเราเรื่อง ปรินซ์ ออฟ เปอร์เซีย : เดอะ แซนด์ส ออฟ ไทม์ หรือชื่อไทยว่า เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย ตอนมหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา ประกบพระเอกสุดฮอต เจค จิลเลนฮาล

สาวอาร์เทอร์ตัน หรือเจมมา คริสติน่า อาร์เทอร์ตัน ลืมตาดูโลกเมื่อ 12 มกราคม ปี 2529 ที่เมืองเคนต์ ในอังกฤษ ตอนเกิดมามีนิ้วมือข้างละ 6 นิ้ว และหูที่พับกลับ แต่ได้รับการผ่าตัดจนหายขาด และเติบโตเป็นสาวสวยที่สมบูรณ์แบบอย่างในทุกวันนี้ เธอเรียนจบมัธยมที่เกรฟเซนต์ แกรมมาร์ สคูล ฟอร์ เกิร์ลส์ ก่อนจะเข้าเรียนทางด้านการแสดงที่มิสกิน เธียเตอร์ ซึ่งเป็นคณะหนึ่งของนอร์ท เวสต์ เคนต์ คอลเลจ

อาร์เทอร์ตัน เข้าสู่การแสดงครั้งแรก โดยรับบทโรซาลีน ในละครเวทีเรื่อง เลิฟ’ส เลเบอร์’ส ลอสต์ ผลงานของวิลเลียม เชคสเปียร์ ที่โกลบ เธียเตอร์ ในกรุงลอนดอน ส่วนงานแสดงเรื่องแรกคือ เซนต์ ทรีเนียน’ส หลังจากแสดงภาพยนตร์ เรื่องแรกเพียงปีเดียว อาร์เทอร์ตันเข้าชิงดำกับสาว ๆ อีกราว 1,500 คน เพื่อมารับบทเด่นเป็นสาวบอนด์ ประกบแดเนียล เครก หนุ่มบอนด์คนปัจจุบัน ซึ่งเครกพูดถึงนางเอกสาวคนนี้ว่า เจมมาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก และเชื่อว่า เธอจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ในเรื่องของการแสดง นอกจากนั้น เธอยังขึ้นปกนิตยสารเอ็มไพร์ ในฐานะดาราหน้าใหม่มาแรงแห่งปี ค.ศ.2010

สำหรับเรื่องเจ้าชายแห่งเปอร์เซีย ตอนมหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา เป็นมหากาพย์แอ๊คชั่น-ผจญภัยในดินแดนลี้ลับแห่งเปอร์เซีย เมื่อเจ้าชาย ที่รับบทโดยเจค จิลเลนฮาล ต้องร่วมมือกับเจ้าหญิงผู้ลึกลับ ที่รับบทโดยเจมมา อาร์เทอร์ตัน อย่างไม่เต็มใจ โดยที่เขาและเธอต้องผจญภัยไปด้วยกัน พร้อมทั้งต่อสู้กับอำนาจมืดอันชั่วร้ายทั้งหลาย เพื่อปกป้อง กรีซโบราณ ที่สามารถปลดปล่อยพลังของ “ทรายแห่งกาลเวลา” เครื่องมือของเทพเจ้าที่สามารถย้อนเวลากลับได้ตามต้องการ และทำให้ผู้ที่ครอบครองมีความเป็นอมตะและมีอำนาจ สูงสุดที่จะครอบครองโลก ติดตาม เจ้าชายแห่งเปอร์เซีย ตอนมหาสงครามทะเลทรายแห่งกาลเวลา ที่มีกำหนดเข้าฉาย 10 มิ.ย.นี้.

Skydiver preparing for 120,000-foot supersonic fall

New York (CNN) -- An Austrian daredevil is planning to become the first person to break the sound barrier in a free fall, without riding in a vehicle.

This summer in New Mexico, Felix Baumgartner hopes to make the highest, longest and fastest fall ever.

His attempt will take him to an altitude where the atmosphere ends and space begins -- where blood boils at body temperature, and the air temperature could be as low as minus 70 degrees Fahrenheit.

The first step in the attempt will be riding a helium balloon to an altitude of 120,000 feet above sea level -- almost 23 miles -- higher than anyone has ascended in a balloon before.

Then, wearing a pressurized suit and oxygen tanks, he plans to jump out of his capsule for a five-minute fall back to Earth. Within the first 30 seconds, he expects to be falling faster than the speed of sound, which at that altitude is around 690 miles per hour. Crossing that barrier would mark a new test of the limits of the human body.

"This is what we want to find out: What happens to the human body when it breaks the speed of sound," Baumgartner said. "That's a big question mark."

To increase his chances of survival, his parachute is set to open automatically, even if he's unconscious or spinning so fast his hands are pinned by the G-force. He said his engineers are taking every precaution, testing out the suit in a wind tunnel and providing him with a backup chute, sealed gloves and boots, and an advanced helmet.

"This helmet also has face-shield heating to make sure your visor's not getting fogged up on the way down, because that would be fatal," he said. "If you don't see anything, you can't move anymore. You can't make decisions."

Still, the risk of the unknown remains. "If something happens, it happens fast," he said. "You can never say you're not going to get killed under any circumstances," but "we have a lot of solutions for emergency situations like this."

A chain reaction of events would have to occur before the jump could turn fatal, he said.

A potential benefit from the mission, he said, would be demonstrating that it is possible to return from space without a spacecraft.

"In the future, a lot more tourists will go and travel to space. And if something goes wrong with their spacecraft, they have to return to Earth somehow," he said. "We will show to the world that egress from high altitude is survivable."

The main difference is that Baumgartner will start from a standstill, whereas astronauts in a craft like the space shuttle are traveling at orbital speeds close to 18,000 mph when their re-entry begins.

The previous record for the highest jump has stood for half a century, since it was set in 1960 by Joe Kittinger with the Air Force. He reached an altitude of 102,800 feet, and says it felt like a very distant and hostile place to be.

"You know that right outside of you is a vacuum of space," he said, "and without the protection of that pressure suit, you cannot live. And that's an interesting thought."

Baumgartner, whose attempt is being financed by energy drink maker Red Bull, has enlisted Kittinger as a consultant.

"We have learned a lot from people in the past who tried to break that record, and they all failed," Baumgartner said. "Some of these people got killed."

But he adds, "I think it's human nature, you know. Records are meant to be broken. And I'm a very competitive person. I like the challenge."

American boy, 13, breaks Everest record

CNN -- A 13-year-old American became the youngest climber to ever summit Mount Everest on Saturday.

Jordan Romero's journey was tracked through GPS coordinates on his blog, logging his team's ascent up Everest, which is 29,028 feet (8,847 meters) above sea level.

"Their dreams have now come true," a statement on Jordan's blog said. "Everyone sounded unbelievably happy."

Before Saturday, the youngest climber to scale Everest was 16-year-old Temba Tsheri of Nepal.

"I know you would like to hear from the boy himself, but he is currently flat on his belly knocked out," a member of Jordan's climbing team said in a message posted Saturday on his blog. "The effort he put out this last more like 48 hours is -- you're not going to believe the story when you see it and read about it."

Romero left for the peak from the Chinese side of the mountain after Nepal denied him permission on age grounds, according to nepalnews.com.

Before starting out, Romero, of Big Bear, California, said he wanted to climb Everest to inspire more young people to get outdoors.

"Obese children are the future of America, the way things are going," he said on April 9 in Kathmandu. "I am hoping to change that by doing what I do: climbing and motivational speaking."

With a smile, he added: "I am doing this a little for myself, too, to do something big."

Jordan now has climbed six of the seven highest peaks on seven continents, known as the Seven Summits.

"This is not an isolated vacation," said Paul Romero, Jordan's father, before the two embarked up Everest in Nepal. "This is a lifestyle."

Romero's family started tackling the Seven Summits in summer 2005. He was just 9 when they climbed 19,341 feet (5,895 meters) to the peak of Mount Kilimanjaro in Tanzania.

There is a debate about whether the tallest mountain in Oceania is Kosciuszko in mainland Australia or Carstensz Pyramid in Indonesia, so Romero and his family climbed both.

The only peak left for him to climb after Everest is the Vinson Massif in Antarctica, which is 16,067 feet (4,897 meters). A trip there is planned for December.

U.S. issues travel alert for Jamaica

(CNN) -- The U.S. State Department issued a travel alert for Jamaica on Friday, citing unconfirmed reports of criminal gang members amassing in Kingston and the mobilization of Jamaican defense forces.

"The possibility exists for violence and/or civil unrest in the greater Kingston metropolitan area," the alert said.

"If the situation ignites, there is a possibility of severe disruptions of movement within Kingston, including blocking of access roads to the Norman Manley International Airport," according to the alert.

"The possibility exists that unrest could spread beyond the general Kingston area," the alert said.

The U.S. Embassy in Kingston, Jamaica's capital, is taking extra security precautions, according to the alert, which expires June 21.

"American citizens should consider the risks associated with travel to and within the greater Kingston metropolitan area," the alert said. "U.S. citizens in Jamaica are advised to monitor local news reports and consider the level of security present when venturing outside their residence or hotel."

The United Kingdom on Thursday updated its travel advisory for British citizens in Jamaica.

The British Foreign Office urged UK citizens to take extra care when traveling away from their homes or hotels due to the "increased risk of civil disorder and street violence in Kingston" and potentially other urban areas.

158 dead in India plane crash

New Delhi, India (CNN) -- Rescue teams worked into the night at the smoldering scene of an Air India plane crash that killed 158 people Saturday after the jet overshot a runway in southern India, crashed into a ravine and burst into flames, officials said.

As darkness descended, workers used portable lights to pull charred bodies out of the wreckage outside Mangalore International Airport.

All but eight bodies have been recovered, the civil aviation ministry said.

Eight of the 166 people on board Air India Flight IX-812 survived the crash and were taken to hospitals, where most were in good condition, CNN-IBN reported.

The Boeing 737 took off from Dubai in the United Arab Emirates and crashed while trying to make its scheduled landing in Mangalore at 6:30 a.m. Saturday (9 p.m. ET Friday), Air India spokesman Anup Srivastava said.

India's civil aviation minister Praful Patel said an investigation was underway but reasons for the crash would not be known until the flight data and voice data recorders have been recovered. Emergency workers were attempting to cool the fiery wreckage Saturday night to keep the data intact.

The U.S. National Transportation Safety Board announced Saturday that it will send a team to India to assist in the investigation.

The Air India jet touched down on an 8,000-foot runway -- 2,000 feet longer than the old runway and more than sufficient for the Boeing 737, Patel said. The runway has been operational since 2006.

Some of the survivors recounted their harrowing tales for CNN-IBN.

Ummerfarook Mohammed said the cabin quickly filled with smoke after the jet skidded off the runway and hit a boundary wall. The impact created a hole in the plane's body, he said, through which he crawled out and ran for his life.

Nearby villagers carted him in a rickshaw to a hospital.

A medical student said she escaped from the plane but that she then free-fell until she was snagged by a tree, where rescuers found her.

Some of those flying back from Dubai were among the millions of Indians who work as laborers in Persian Gulf states.

Mangalore's airport was "technically certified" by the country's civil aviation regulator.

Patel said weather conditions were good -- calm winds, no rain and good visibility of 6 kilometers -- and both the pilot and co-pilot were experienced and had landed many times before at the Mangalore airport. They did not report any problems before landing the plane, India's civil aviation ministry said.

However, the 90-meter spillover sand bed beyond the runway was limited and was not able to stop the aircraft after it overshot the tarmac, Patel said. Only the tail of the aircraft was left intact.

Witnesses said the plane crashed through the hilltop airport's boundary wall and fell into a valley, CNN-IBN reported.

Survivors told CNN's sister network that they jumped out of the plane after it crashed, seconds before it burst into flames.

Rescue workers struggled to reach the crash site in a hilly wooded area, the network said. Smoke from the plane also hampered rescue efforts and many of the recovered bodies were badly burned, CNN-IBN reported.

Abhay Pathak, a regional manager for Air India based in Dubai, said there were 160 passengers on board the plane and six crew members. Of the passengers, 32 were women, 105 were men, 19 were children and four were infants, he said.

Indian Prime Minister Manmohan Singh announced financial aid for the victims Saturday and canceled scheduled events at his residence to mark the end of his first year in office.

The government said families would receive 200,000 rupees, or about $4,260, for each dead passenger and 50,000 rupees, or $1,064, for every injured passenger.

The airline has offered relatives of crash victims in the United Arab Emirates free passage to India, Pathak said, and about 20 people have accepted the offer.

Boeing released a statement saying the company would send a team to provide technical assistance to Indian authorities during their investigation.

The NTSB team is expected to arrive in Mangalore on Tuesday morning and will include a senior air safety investigator, a flight operations specialist, an aircraft systems specialist, and technical advisers for Boeing and the Federal Aviation Administration, the NTSB said in a statement.

The city of Mangalore, situated in the state of Karnataka along India's Western Ghats or hills, had just christened a new terminal. A week later, it was marred by the crash, India's worst aviation disaster in a decade. In 2000, an Alliance Air jet crashed while trying to land in the northeastern city of Patna, killing about 60 people.

BP won't change dispersant used in oil spill -- for now

(CNN) -- BP plans to continue using a controversial subsea dispersant to break up a plume of oil gushing into the Gulf of Mexico, saying that the leading alternative could pose a risk over the long term, the EPA indicated Saturday.

The EPA issued a directive on Thursday, ordering BP to find, within 24 hours, a less toxic but equally effective chemical than its current product, Corexit 9500 -- and one that is available in sufficient quantities. The directive also gave the company 72 hours to stop applying it to the undersea gusher.

Corexit has been rated more toxic and less effective than many others on the list of 18 EPA-approved dispersants, according to testimony at a congressional hearing Wednesday.

The EPA released BP's response to the mandate on Saturday.

The response, which BP submitted late Thursday night, said that the oil company identified the only other effective, less toxic alternative available in mass quantities as Sea Brat 4. However, BP said the Sea Brat product "contains a small amount of a chemical that may degrade to a nonylphenol."

Nonylphenol is an organic chemical that is toxic to aquatic life and may persist in the environment for years.

Corexit, however, "does not contain chemicals that degrade into NP [and] the manufacturer indicates that Corexit reaches its maximum biodegradeablility within 28 days of application" and does not persist in the environment, BP's response said.

"Based on the information that is available today, BP continues to believe that Corexit was the best and most appropriate choice at the time when the incident occurred, and that Corexit remains the best option for subsea application," BP said.

Despite the continuing use of Corexit, BP is not in violation of the EPA directive, which said that should the company not be able to identify alternative products, "BP shall provide ... a detailed description of the products investigated [and] the reason the products did not meet the standards" required by the agency.

"We will continue to review and discuss the science through the end of the 72-hour window on Sunday, and then we will reach a decision," an EPA spokesman said Saturday.

John Sheffield, president of Alabaster Corp., which manufactures Sea Brat, took issue with BP's response, saying Saturday that the company is "nitpicking my product because they want to use what they've always used."

Sheffield told CNN that he discussed the nonylphenol issue with EPA officials earlier this week, saying the chemical makes up less than 1 percent of the Sea Brat dispersant.

"I've already diffused this issue with the EPA," he said, adding the agency "accepted that response days ago."

The EPA has not yet publicly issued a formal response to BP's letter. EPA officials met with BP executives on Friday to discuss the issue and to explore alternatives.

The EPA said Saturday that it "will continue to work over the next 48 hours to ensure BP is complying with the directive," but did not respond to requests for additional comment.

Meanwhile, the Department of Homeland Security announced Saturday that Interior Secretary Ken Salazar and Homeland Security Secretary Janet Napolitano will lead a bipartisan Senate delegation to inspect the Louisiana coastline after globs of thick, heavy oil began washing into some of the state's marshlands this week.

The delegation will meet with federal officials and BP representatives to discuss the ongoing response efforts.

เคล็ดลับในการขจัดรังแคบนศรีษะ

คำว่ารังแค อาจจะเป็นปัญหาในอันดับต้นๆ ที่เกิดกับศรีษะ และเส้นผม ซึ่งหลายคนที่เป็นรังแคนั้น อาจเกิดความวิตกกังวลว่า ที่มีอาการเกิดรังแคเพราะสุขภาพเส้นผมไม่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ดูเสียบุคคลิกไปเลยก็ได้ เพราะเวลาไปไหนมาไหน ต้องมานั่งกังวล ปัดซ้ายปัดขวากันคนอื่นเห็นรังแคกันให้วุ่นวาย บางครั้งอาจเสียหน้าหากมีคนเห็น ซึ่งพอจะมีเกร็ดความรู้ถึงสาเหตุของการเกิดรังแค และวิธีการรักษาอย่างง่าย ๆ มาฝาก

เริ่มต้นด้วย งดการใช้น้ำอุ่นสระผม จะเป็นการเพิ่มปริมาณรังแค เพราะทั่วไปนั้นการสระผมด้วยน้ำอุ่นจะไปละลายชั้นไขมันบนหนังศีรษะออก ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งและลอกเป็นขุย เกิดรังแคในที่สุด จึงควรเลิกสระผมด้วยน้ำอุ่น

แสงแดดจัดๆ เป็นตัวการทำลายเส้นผม ทำให้เส้นผมชี้ฟู ขาดน้ำหนัก และไม่เงางาม แสงแดดจะเข้าไปทำลายโปรตีนในเส้นผม และทำให้ผมหยาบ จึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่ช่วยบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก

หลีกเลี่ยงควันบุหรี่จากสิงห์อมควันทั้งหลาย เพราะควันบุหรี่จะเกาะบนเส้นผมทำให้ผมขาดความมันเงา และส่งผลให้สภาพศีรษะแห้งกว่าปกติ ไม่เพียงแต่ควันบุหรี่เท่านั้น ควันอื่นๆ ก็ไม่ควรจะให้โดนเส้นผมมากๆ เช่นกัน

ควรมีการนวดบำบัดเพื่อขจัดรังแคบ่อยๆ ทุกครั้งที่สระผม ควรนวดหนังศีรษะเบาๆ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตายให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น?

ควรเลือกแชมพูที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ และควรล้างแชมพูให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผมเพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้าง

โดย พ.ญ.ภาวาส เทียมเศวต ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงด้านหนังศีรษะและเส้นผม กล่าวว่า การกำจัดรังแคทำได้ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงใช้ยาสระผมที่ช่วยขจัดรังแคอย่างสม่ำเสมอ หลังสระผมควรใช้ผ้าขนหนูที่แห้งสะอาดซับหนังศีรษะและเส้นผม ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าที่เปียกชื้นและไม่ใช้ผ้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการเกาที่ทำให้หนังศีรษะเกิดแผลอักเสบ

นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสี วิตามินบี ซีและอี อยู่เสมอ เพื่อบำรุงหนังศีรษะ วิธีเหล่านี้เป็นการรักษาปัญหารังแคเบื้องต้น หากมีปัญหาควรรับการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ เท่านี้ปัญหารังแคก้จะไม่มารบกวนคุณอีกต่อไป

เป็นยังไงบ้าง กับเคล็ดลับในการดูแลเส้นผมและหนังศรีษะ เพื่อลดปัญหารังแคของสาวๆ ทั้งหลาย เคล็ดลับนี้ใช้ได้กับทุกคนเลยทีเดียวไม่เว้นแม้แต่ท่านสุภาพบุรุษที่มีปัญหาในเรื่องหนังศรีษะ

ไวรัสตับอักเสบบี เส้นทางสู่โรคตับอักเสบ

โรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี เป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย แต่คนไทยจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าตนมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ หรือเป็นพาหะ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีการอาการของโรคในระยะเฉียบพลันแล้ว มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง หรือในบางรายตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพ โดยการเจาะเลือดจึงรู้ว่าตนเองมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด

สาเหตุของไวรัสตับอักเสบชนิดบี

เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1965 โดยแพทย์ชาวออสเตรเลียซึ่งต่อมาก็ทราบว่าไวรัสตัวนี้ เป็นสาเหตุของไวรัสตับอักเสบที่พบบ่อย และสามารถก่อให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง และเป็นสาเหตุของมะเร็งตับและตับแข็งได้บ่อยในคนไทย

โรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี จะมีความรุนแรงมากกว่าโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดเอ และมีโอกาสที่จะเป็นโรคเรื้อรัง อีกทั้งเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีจะนำไปสู่มะเร็งตับได้ด้วย

อาการแสดง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสบี จะแบ่งลักษณะอาการได้เป็น 2 แบบ ที่สำคัญได้แก่

1. ผู้ป่วยมีอาการแสดงเฉียบพลัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ต่อมาจะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อาการจะเป็นอยู่ประมาณ 4 สัปดาห์ ต่อไปผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะหายจากโรค และมีภูมิต้านทานเกิดขึ้น มีเพียงส่วนน้อยที่จะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นพาหะของโรคต่อไป ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อครั้งแรกในบางราย อาจมีอาการแสดงน้อยจนผู้ป่วยอาจไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

2 ผู้ป่วยบางรายจะมาพบแพทย์ในระยะที่เป็นพาหะหรือตับอักเสบเรื้อรัง โดยไม่มีอาการแสดงใด ๆ นำมาก่อน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะตรวจพบได้จากการตรวจเลือด

การติดต่อ

โรคนี้สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ

ทางเลือด ปัจจุบันพบน้อยมาก เพราะมีการตรวจหาเชื้อในเลือดก่อนนำมารักษาผู้ป่วย แต่การติดต่อทางเลือด อาจพบได้จากการสัก การเจาะหู หรือการเจาะเพื่อใส่เครื่องประดับในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย หรือจากในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด โดยใช้เข็มฉีดยาที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ

ทางการร่วมเพศ กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี มารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีสามารถติดต่อไปสู่ลูกได้ แต่ในปัจจุบันแพทย์จะให้วัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิดบีแก่ทารกตั้งแต่แรกเกิดทุกรายอยู่แล้ว

การรักษา

ในผู้ป่วยที่เป็นระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียมาก อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ในรายที่เป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือเป็นพาหะของโรค แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในการรักษา ปัจจุบันมียาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี แต่ยาที่ใช้รักษาก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคนี้ให้หายขาดได้ทุกราย ยาที่ใช้รักษาจะช่วยลดจำนวนไวรัสในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ทำให้การอักเสบของตับลดลง ทำให้โอกาสในการที่ผู้ป่วยจะกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับลดลง

ยาที่ใช้ในการรักษามีทั้งยาฉีดและยากินหลายชนิด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการให้ยาแก่ผู้ป่วย

การดำเนินโรค

เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นพาหะและตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี มีโอกาสที่จะเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับต่อไปในอนาคต ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อที่แพทย์จะได้ให้คำแนะนำในการรักษาโรคนี้ต่อไป
การป้องกัน

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ฉีดป้องกันโรคตับอักเสบชนิดบีแล้ว ดังนั้น ผู้ป่วยที่ไม่เคยได้รับเชื้อนี้มาก่อน หรือไม่มีภูมิต้านทานตัวโรคนี้ ควรไปขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันต่อไป

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย

ผู้ป่วยควรงดดื่มสุรา งดสูบบุหรี่ ไม่ซื้อยารับประทานเอง

ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาชนิดใดเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์ว่ายาชนิดนั้นมีผลต่อตับหรือไม่

ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำงานหักโหม ไม่อดนอน

ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่อย่าออกแรงหนักเกินไป

รับประทานอาหารตามปกติ

ปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

ตั้งครรภ์ และมีบุตรได้ แต่ต้องแจ้งแพทย์ตอนฝากครรภ์

ตุ๊มตุ๊ม..ต่อมต่อม..ของต่อมลูกหมาก

โรคที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมากเป็นอีกโรคหนึ่งที่แฟนคอลัมน์ถามไถ่กันเข้ามามากมายอย่างต่อเนื่อง เมื่อหลายฉบับก่อนได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอันตรายของโรคนี้กันไปแล้ว

ฉบับนี้ คุณหมอยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับอันตรายของการเกิดโรคต่อมลูกหมาก มานำเสนอกันต่อ ติดตามกันได้เลย...

อย่างที่ทราบกันว่า อาการแสดงของโรคที่เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมาก มีทั้งต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก และต่อมลูกหมากอักเสบ ซึ่งสาเหตุของการเกิดอาการต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกัน ในผู้ชายที่มีอายุมากขึ้นอาการต่อมลูกหมากโตถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยมีปัจจัยการเกิดที่แตกต่างกัน ทั้งการโตของเนื้อเยื่อปกติในต่อมลูกหมากที่ส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ เมื่อมีความผิดหรือโตขึ้น ก็จะทำให้ท่อทางเดินปัสสาวะแคบลง ปัสสาวะพุ่งไม่แรง อาการเหล่านี้มักจะพบในผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ในบางรายอาจพบช้าหรือเร็วกว่านี้ได้

มีคำถามส่งเข้ามากันมากว่า “เมื่อเป็นต่อมลูกหมากโตแล้ว จะทำให้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้หรือไม่” ต้องบอกว่า ถึงแม้ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีประวัติต่อมลูกหมากโตมาก่อน และผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโต ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัย ก็ไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็งทุกรายไป แต่ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกไม่มีอาการใด ๆ อาการของผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจึงเป็นอาการของต่อมลูกหมากโตที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้ว ดังนั้นการตรวจคัดกรองว่าจะมีมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ มีข้อแนะนำว่า หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากก็ควรมาพบแพทย์เร็วขึ้น และผู้ชายที่แม้ไม่มีประวัติการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในครอบครัว ก็ควรมาพบแพทย์เมื่อมีอายุ 50 ปีแล้ว และหากพบว่ามีอาการเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปแล้ว ก็ให้รีบมาพบแพทย์ทันที

การตรวจวินิจฉัยของแพทย์ จะทำการซักประวัติ ตรวจทางทวารหนัก เพื่อคลำต่อมลูกหมากว่ามีความผิดปกติ เช่น มีผิวขรุขระ เจ็บขณะกดที่ต่อมลูกหมากหรือไม่ การตรวจอีกวิธีคือ การตรวจปัสสาวะ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างได้ เช่น พบการอักเสบ พบเม็ดเลือดแดงหรือสารอื่น ๆ ปนในปัสสาวะ

นอกจากนี้ การตรวจเลือดเพื่อหาค่า PSA (พีเอสเอ) หรือการตรวจหาค่าของสารที่ผลิตจากต่อมลูกหมาก ก็เป็นอีกวิธีที่แพทย์นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งหากพบว่าค่าพีเอสเอสูงผิดปกติ อาจวินิจฉัยได้ว่าเกิดความผิดปกติที่ต่อมลูกหมากขึ้น เช่น การอักเสบ การถูกกระทบกระเทือนบริเวณต่อมลูกหมากจากการสวนปัสสาวะ และการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ทั้งค่าพีเอสเอมักสูงขึ้นตามวัยโดยปกติอยู่แล้ว

การตรวจอัลตราซาวด์ทางทวารหนักและตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ก็เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญในการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจก็ต่อเมื่อผลการตรวจทางทวารหนักผิดปกติ หรือผลพีเอสเอมีความผิดปกติ แพทย์จะสอดอุปกรณ์เข้าทางช่องทวารหนักและตัดชิ้นเนื้อออกจากต่อมลูกหมากออกมาเพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง การตรวจเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ CT-SCAN หรือ ซีที-สแกน และการตรวจคลื่นแม่เหล็ก MRI (เอ็มอาร์ไอ) ก็อาจต้องนำมาใช้ตรวจวินิจฉัยร่วมด้วย ทั้งนี้ การตรวจเพิ่มเติมเพื่อความแน่ใจในทางการแพทย์ ยังมีวิธีการตรวจเช็กการทำงานของกระเพาะ ปัสสาวะอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นการตรวจที่ต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษและอาศัยประสบการณ์ในการตรวจว่ามีข้อบ่งชี้ เช่น มีปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีอาการหลายอย่างร่วมกัน กล่าวคือ อาจมีทั้งปัสสาวะลำบาก ร่วมกับการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

จะสังเกตได้ว่า เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยอาการของต่อมลูกหมาก มีอยู่มากมายหลายวิธี ดังนั้น จึงมั่นใจได้ในเรื่องการตรวจของแพทย์ทางระบบทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี

เช่นเดียวกันกับการรักษา แพทย์จะมีวิธีการรักษาอาการต่าง ๆ เกี่ยวกับต่อมลูกหมากในผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกันไป ซึ่งการรักษาโดยหลักในปัจจุบันนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่ การรักษาด้วยยา การผ่าตัด และการรักษาด้วยการใช้คลื่นความร้อน

การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาหลักที่ยอมรับกันทั่วไปและเป็นการรักษาแรกที่แพทย์แนะนำให้กับผู้ป่วย ยากลุ่มหลักที่นิยมใช้มี 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันเหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายที่มีอาการแตกต่างกัน ดังนี้ ยาที่มีฤทธิ์ทำให้ท่อทางเดินปัสสาวะบริเวณต่อมลูกหมากโตขึ้น ยากลุ่มนี้เห็นผลเร็ว ทำให้อาการดีขึ้นเร็ว แต่อาจจะพบอาการข้างเคียงได้ ที่พบบ่อยได้แก่ วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ทั้งนี้เกิดจากความดันเลือดที่ลดลง ต่อมาคือ ยาที่มีฤทธิ์ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดยุบลง ส่งผลให้อาการความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะดีขึ้น ยากลุ่มนี้จะเห็นผลค่อนข้างช้า แต่อาการข้างเคียงน้อย ที่พบบ่อยได้แก่ สมรรถภาพทางเพศลดลง อสุจิมีปริมาณลดลงยาที่ผลิตจากพืช หรือสมุนไพร ที่ใช้กันกว้างขวางในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลิตภัณฑ์พืชหลายชนิด ทำให้อาการความผิดปกติในการขับถ่ายปัสสาวะดีขึ้น ผลข้างเคียงน้อย

การผ่าตัด เป็นการรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นชัดเจน และได้ผลดีเป็นระยะเวลานาน หลักการของการผ่าตัด เป็นการนำเอาก้อนเนื้อจากต่อมลูกหมากออก เปิดช่องทางไหลของปัสสาวะให้กว้างขึ้น ในปัจจุบันใช้การผ่าตัดผ่านทางกล้องที่สอดเข้าทางท่อปัสสาวะเป็นหลัก หลายท่านอาจจะเรียกว่า การผ่าตัดขูดต่อม ลูกหมาก หรือคว้านต่อมลูกหมาก เพราะเป็นการนำเอาเนื้อต่อมลูกหมากที่อยู่ชิดกับท่อปัสสาวะออก เปิดช่องปัสสาวะให้กว้างขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะต้องนอนค้างในโรงพยาบาลและต้องดมยาสลบหรือฉีดยาชาบริเวณสันหลัง หลังทำผ่าตัดจะต้องคาสายสวนปัสสาวะไว้ 3-4 วัน แต่ด้วยวิวัฒนาการในปัจจุบันอาจจะมีการนำเอาวิธีการอื่นมาใช้ประกอบกับการส่องกล้องก็ได้ เช่น มีการใช้เลเซอร์ หรือคลื่นความร้อนมาทำลายเนื้อต่อมลูกหมากแทน การผ่าตัดขูดหรือคว้านต่อมลูกหมากนี้ จะทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะคล่องขึ้น พุ่งแรงขึ้น แต่อาการอื่นๆ เช่น ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะเร่งรีบ อาจจะยังคงมีเหลืออยู่หลังการผ่าตัดซึ่งจะต้องใช้ยารักษาต่อไป หากอาการที่เหลืออยู่ยังสร้างความรำคาญแก่ผู้ป่วย การผ่าตัดคว้านต่อมลูกหมากหรือการขูดต่อมลูกหมากนี้แตกต่างจากการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออก ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง การขูดต่อมลูกหมากจะยังมีเนื้อต่อมลูกหมากเหลืออยู่ ผู้ป่วยยังจะต้องเฝ้าติดตามต่อไป เพราะเนื้อต่อมลูกหมากที่เหลืออยู่อาจจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้

การรักษาด้วยกรรมวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้คลื่นความร้อน คลื่นไมโครเวฟ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่แพทย์อาจจะเลือกใช้กับผู้ป่วยบางราย

หนทางที่ดีที่สุดของการรักษา ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตามแต่ ก็คือ การได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และหากมีปัญหาเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ของต่อมลูกหมาก สามารถพบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ในงาน “โรคของต่อมลูกหมาก” ในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชั้น 5 อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2201-2521.

ควบคุมเบาหวานห่างไกลโรคแทรกซ้อน

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า “เบาหวาน” เป็นโรคเรื้อรัง ที่รักษาไม่หายขาด

โรคเบาหวานในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการดื้ออินซูลิน และร่างกายหลั่งสารอินซูลินได้ไม่มากพอ ซึ่งสารอินซูลินเองก็เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อนำไปเผาผลาญให้เป็นพลังงาน หรือเก็บสะสมไว้เป็นแหล่งพลังงานในอนาคต

ถ้าอินซูลินในร่างกายมีไม่เพียงพอหรือทำงานได้ไม่ดี จะทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนหลายอย่างที่สำคัญ เช่น ตาบอด ไตวาย ปลายประสาทเสื่อม โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือใกล้เคียงปกติ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนดังกล่าวได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปราศจากโรคแทรกซ้อนได้ เพียงแค่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ โดยเฉพาะความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานจะมีมากขึ้น ผู้ป่วยเบาหวานได้รับการดูแลรักษาดีขึ้น รวมทั้งมียาหลากหลายชนิดที่เหมาะสม แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้ป่วยเบาหวานยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีนัก อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานยังค่อนข้างสูง ข้อมูลจากผู้ป่วยเบาหวานที่รับการรักษาในโรงเรียนแพทย์หรือโรงพยาบาลศูนย์ของกระทรวงสาธารณสุขไทย พบว่าในปี พ.ศ. 2546 ผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีมีเพียงหนึ่งในสามของทั้งหมดเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ส่งผลทำให้ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวได้เองด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยบางรายคิดว่า ในเมื่อแพทย์ให้รับประทานยาแล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องควบคุมอาหาร ยาน่าจะจัดการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากว่ายามีความสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น การรับประทานอาหารโดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลมากเกินไป นอกจากจะส่งผลทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้นด้วยเช่นกัน หากพบว่าตัวเองมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดยากขึ้น เนื่องจากดื้ออินซูลินมากขึ้น

ตรงกันข้ามการลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่อ้วนจะทำให้การดื้ออินซูลินลดลง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสามารถทำได้ง่ายขึ้น คำถามที่เกิดขึ้นคือ เมื่อใดจึงเรียกว่า “อ้วน” ให้คำนวณง่าย ๆ โดยวัดน้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงวัดเป็นเมตรยกกำลังสอง ตัวเลขที่ออกมาไม่ควรเกิน 23 ถ้าเกินหรือเท่ากับ 25 จึงเรียกว่า “อ้วน” แต่หากอยู่ในระดับ 23-24.9 หมายถึงน้ำหนักเกินหรือท้วม ดังนั้นเป้าหมายของการควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวานนอกเหนือจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังต้องเน้นการลดน้ำหนักตัวด้วย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล รวมทั้งอาหารที่ให้พลังงานสูง

นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ต้องเน้นให้ความสำคัญ การออกกำลังกายช่วยทำให้อินซูลินทำงานดีขึ้น ช่วยให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น การออกกำลังกายควรทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ผู้ป่วยบางรายเข้าใจผิดว่า เมื่อออกกำลังกายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมอาหาร การออกกำลังกายนอกจากช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของหัวใจ ช่วยทำให้ระดับไขมันในเลือดและระดับความดันโลหิตดีขึ้น แนะนำว่าให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ๆ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เต้นรำ และควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150 นาทีเป็นอย่างน้อย อาจแบ่งเป็นอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที และไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายในโรงยิมหรือสถานที่ออกกำลังกายเฉพาะเท่านั้น สามารถประยุกต์กิจกรรมทำให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันได้ เช่น ทำสวน ทำงานบ้าน ขึ้นลงบันไดแทนลิฟต์ (ไม่แนะนำในคนที่มีปัญหาเรื่องเข่าเสื่อม) ลงรถเมล์ก่อนถึงป้าย เดินไปทำงานแทนนั่งรถ เป็นต้น

แต่ทั้งนี้กิจกรรมเหล่านี้ ต้องทำติดต่อกันและทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรวางแผน จัด เวลา และเลือกชนิดของการ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกาย

การควบคุมเบาหวาน ควรกระทำตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน และกระทำอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ผู้ป่วยต้องทำนอกเหนือจากการไปพบแพทย์เพื่อรับยาคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งดูเหมือนยากแต่ก็ไม่ยากเกินไปถ้าตั้งใจทำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข

รู้เท่าทัน '7 โรคฮิต' ในหน้าร้อน

แม้ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลงไป ทั้งร้อนร้อน หนาวหนาว ไม่คงที่ แต่ถึงยังไง ประเทศไทยก็ยังคงเป็นประเทศที่อยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งคงหนีไม่พ้นอากาศร้อนในหน้าร้อนที่จะถึงนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

ตามกระแสภูมิอากาศของโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน ปัญหาที่พบกันได้อยู่บ่อยครั้งก็คือ ปัญหาโรคภัยต่าง ๆ ซึ่งไม่ว่าจะหน้าร้อน หรือหน้าหนาว ปัญหานี้มักจะเป็นประเด็นให้ต้องพูดถึงอยู่ร่ำไป ดังนั้น บทความด้านล่างนี้จึงเป็นโรคภัยต่าง ๆ 7 โรคที่มักพบในหน้าร้อน ๆ แบบนี้ ไปดูกันว่ามีโรคอะไรบ้าง
1. โรคอุจจาระร่วงหน้าร้อน สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อหลายประเภททั้งแบคทีเรีย ไวรัส และกลุ่มเชื้อโปรโตซัว ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่มีโอกาสบูดเสียได้ง่ายในอากาศที่ร้อนจัด และเมื่อรวมกับสุขอนามัยที่ไม่สะอาดแล้ว สามารถเกิดการระบาดของโรคอุจจาระร่วงในหน้าร้อนนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชน เชื้อแบคทีเรียบางชนิดเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง มีอาการขาดน้ำ สูญเสียเกลือแร่ อันเกิดจากเชื้ออหิวาตกโรคและเชื้ออื่นๆ เช่น เชื้อบิด ไทฟอยด์ พาราไทฟอยด์ ไข้เอนเทอริก ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสคอกซากี้ และไวรัสโรต้า การระบาดส่วนมากมักพบในเด็ก หากอาการไม่รุนแรงก็สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้เองด้วยผงเกลือแร่ผสมน้ำดื่ม แต่ไม่แนะนำให้ซื้อยาปฏิชีวนะมาทานเอง

2. โรคอาหารเป็นพิษ จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งพบได้มากในช่วงหน้าร้อน สาเหตุสำคัญเกิดจากการทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารพิษที่เกิดจากเชื้อบิด เชื้อสแตปฟีโลคอกคัส และเชื้อบาซิลลัส ซึ่งมักเป็นสารที่ทนต่อความร้อน พบบ่อยในอาหารประเภทไส้กรอก กุนเชียง ข้าวผัดต่าง ๆ ถึงว่าพยายามจะกินอาหารที่สุกร้อนแล้ว แต่หากส่วนผสมก่อนนำมาปรุงอาหารเกิดบูดเสียก่อน ก็จะเกิดอาการเป็นพิษได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ หรือปวดเมื่อย อ่อนเพลีย จนถึงท้องร่วงจากสารพิษที่ทนความร้อน

3. โรคไข้หวัดหน้าร้อน โรคนี้สาเหตุเกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ การแสดงอาการอาจถูกกระตุ้นจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ร่วมกับการรับเชื้อไวรัสไข้หวัดเข้าไป โดยมีอาการตั้งแต่น้อยไปถึงมาก เช่น อาการหวัดธรรมดาจนถึงหลอดลมอักเสบ ปอดบวม จึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด อากาศถ่ายเทได้น้อย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาด แต่ความคิดที่ว่าหลบร้อนไปรับแอร์เย็นๆ ในสถานที่เหล่านี้ก็ควรระมัดระวังให้ดี หากเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอก็ไม่ควรไป แต่หากพบว่าติดเชื้อไข้หวัดเข้าแล้ว ก็ไม่ต้องตกใจมาก ให้พักผ่อนให้พอเพียง ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ รับประทานอาหารร้อน ๆ หากมีไข้สูงก็ทานยาพาราเซตามอลช่วยลดไข้ เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยให้ไข้ลงได้เร็วและสบายตัวขึ้น

4. โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผดร้อน โรคผิวหนังเหล่านี้ มักเกิดขึ้นได้มากในหน้าร้อน เมื่อไม่รักษาความสะอาดที่ผิวหนัง สาเหตุมักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผิวหนังและรูขุมขนอักเสบ มีแผลเป็นตุ่มหนอง มีเชื้อราตามจุดอับชื้นต่าง ๆ เหล่านี้ก็ทำให้เกิดโรคกลาก เกลื้อนได้มาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากเล่นน้ำที่ไม่สะอาดเข้า ก็จะเกิดโรคเหล่านี้ได้ง่ายมาก จึงควรรักษาความสะอาดร่างกาย รวมทั้งอาบน้ำบ่อย ๆ ใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาจนเกินไป

5. โรคจากสัตว์เลี้ยง โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เป็นอีกโรคยอดฮิตที่พบได้บ่อยในหน้าร้อน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส “เรบี” ที่มีอยู่ในน้ำลายของสัตว์ ซึ่งติดต่อได้จากการถูกสุนัขจรจัด แมว หรือกระทั่งสุนัขที่เลี้ยงไว้ กัด ข่วน เลียบาดแผล ผู้เลี้ยงจึงควรพาสัตว์เลี้ยงไปรับวัคซีนป้องกันเป็นประจำทุกปี โรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เมื่อถูกสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนกัด ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ แนะนำว่าควรรีบมารับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทันที

6. โรคเครียด หงุดหงิด ปวดศีรษะ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาที่คิดว่าเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ปัจจัยด้านอากาศที่ร้อนขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ ฉุนเฉียว โมโหได้ง่ายขึ้น วิธีแก้ปัญหาควรแก้ที่ต้นเหตุ เช่น เลี่ยงอากาศที่ร้อนอบอ้าว อาบน้ำบ่อยขึ้น ประแป้งเย็น ทำจิตใจให้สบาย ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศ หางานอดิเรกทำ ฝึกจิตใจและสมาธิ ใจเย็น ค่อยพูดค่อยจา แต่หากเป็นมากควรไปปรึกษาแพทย์

7. เป็นลมจากอากาศร้อน (โรคฮีท สโตรค) เป็นโรคที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ปัจจุบันพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้น เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด อบอ้าว อากาศถ่ายเทไม่ดี นอกจากนี้ ยังพบว่า การดื่มน้ำน้อยก็มีโอกาสเป็นลมจากอากาศร้อนได้มากขึ้น เพราะเส้นเลือดส่วนปลายขยายตัวมากในสภาวะอากาศภายนอกที่ร้อนจัด ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม สำหรับโรคนี้ยังมีข้อมูลอีกมาก สามารถติดตามได้ในฉบับหน้า

ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวสำหรับหน้าร้อนนี้

- ทานอาหารและน้ำที่สุกสะอาด อาหารไม่บูดเสียสภาพก่อนนำมาปรุง อาหารที่ต้องการความสด เช่น อาหารทะเล ควรระมัดระวังการปนเปื้อนน้ำยาฟอร์มาลิน หากไม่แน่ใจไม่ควรซื้อมารับประทาน งดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพราะยิ่งอากาศร้อนมาก การดูดซึมแอลกอฮอล์จะสูง ร่างกายจะสามารถซึมผ่านแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จนปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะบ่อย ขาดน้ำ และน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำได้

- หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน หากอากาศร้อนจัด อาจอาบน้ำบ่อยขึ้น ปรับสภาพบ้านให้เหมาะกับฤดู เช่น เปิดหน้าต่าง ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ฝึกสมาธิ หางานอดิเรกทำ ก็จะช่วยลดความเครียดและหงุดหงิดลงได้ หากเลี้ยงสัตว์ควรพาไปรับวัคซีน เพื่อลดความเสี่ยงของตนเองและผู้อื่น

- เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เหมาะสม เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายความร้อนได้ดี สีอ่อน โทนเย็น ๆ ช่วยให้จิตใจสบาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแดด อากาศร้อนจัด หากจำเป็นต้องออกจากบ้าน ควรสวมหมวก

สภาพอากาศร้อน ๆ แบบนี้..อย่าปล่อยให้กายและใจร้อนตาม หมั่นฝึกจิต ทำสมาธิ ดูแลสุขภาพ ก็จะช่วยคลายร้อนได้มากเลยทีเดียว.