Ice - News

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทริกดีๆ ซื้อของ SALE

กลยุทธ์ทางการตลาดในปัจจุบันนี้ มีส่วนทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะการลด แลก แจก แถม ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือล่อตาล่อใจให้ตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี และกลยุทธ์ดังกล่าวก็สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ต้องการซื้อของถูก ยิ่งมีของแถมหรือแจกฟรี รับรองว่ามีเท่าไหร่ก็หมดค่ะ...!!

เมื่อนักการตลาดค้นพบว่าจุดอ่อนของผู้บริโภคคืออะไร พวกเขาก็มักจะวางแผนที่จะโกยเงินจากกระเป๋าบรรดานักช็อปอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการประกาศลดราคาของสินค้า แบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หากคุณไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี รับรองว่ามีเงินเท่าไหร่เป็นจ่ายหมด

หากคุณอดใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าห้างร้านไหนติดป้ายประกาศลดราคาสินค้า ดิฉันขอแนะนำให้ชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดยต้องคิดก่อนจ่ายเงินว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ฉบับนี้มีแนวคิดในการตัดสินใจซื้อมาฝากให้บรรดาผู้ที่เห็นของถูกแล้วตาวาว จะได้รู้ตัวกันซักนิดว่าคุณถูกหลอกหรือว่าสินค้าราคาถูกจริงๆ

ชั่งใจ . . . ชั่งเงิน

ข้อแนะนำแรกดิฉันขอเตือนให้คุณใช้วิจารณญาณของตัวเอง เพื่อหาคำตอบว่าสินค้าที่ติดป้ายลดราคานั้นเขาลดราคาจริงหรือไม่? เพราะปัจจุบันนี้มีผู้ประกอบการหัวใสแต่มีจิตใจคดโกง หาทางระบายสินค้าด้วยการบอกว่าลดราคา แต่ความจริงแล้วราคาก็เท่าเดิม ได้กำไรเท่าเดิม เพียงแต่บวกราคาเพิ่มขึ้นแล้วติดป้ายบอกว่าลดราคา 50-70% หรือบางที่ก็บอกว่าลดทั้งร้าน

ที่ตั้งข้อสังเกตว่าลดราคาจริงหรือไม่นั้น เพราะดิฉันเคยพูดคุยกับผู้ที่ช่ำชองในการช็อปปิ้ง เขาบอกว่าก่อนที่สินค้าจะถูกติดป้ายลดราคา ก็เคยขายในราคาดังกล่าว หากใครไม่รู้ก็หลงเชื่อกลยุทธ์หลอกลวง อย่างไรก็ตามห้างร้านที่เขาลดราคาจริงๆ ก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีลูกค้าประจำ เขาไม่กล้าหลอกลวงอย่างแน่นอน

ถึงจะ SALE แต่ต้องดี

แต่ที่เห็นกันก็คือสินค้าที่นำมาลดราคาส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ค้างสต็อก ล้าสมัย หรือตกรุ่น ฯลฯ ดังนั้นการเลือกซื้อคุณควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าด้วย โดยพิจารณาว่าดีหรือไม่ สมควรที่จะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่คุณเห็นว่าราคาถูกหรือไม่? ที่สำคัญนักช็อปทั้งหลายควรให้ความสำคัญในเรื่องประโยชน์ใช้สอยด้วยนะคะ เพราะมีหลายคนที่หลับหูหลับตาซื้อ เพราะเห็นว่าราคาถูก จึงซื้อมาเก็บสะสมไว้เป็นกองๆ ที่บ้านโดยไม่ได้ใช้งานเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าซื้อราคาถูกแต่ไม่คุ้มค่าค่ะ

อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ต้องการรอให้สินค้านั้นๆ ลดราคาจึงจะตัดสินใจซื้อ เนื่องจากตอนที่ออกมาขายใหม่ๆ นั้นราคาแพงเหลือเกิน ต้องรอให้ลด 50-70% ก่อนจึงจะสามารถซื้อได้ แต่หลายคนก็มองว่าการซื้อของลดราคานั้นทำให้ขาดความภาคภูมิใจในตัวสินค้าที่จะมาครอบครอง จึงไม่นิยมซื้อสินค้าลดราคา ในเรื่องนี้ดิฉันคิดว่านานาจิตตังนะคะ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน

ลดราคา . . . ประหยัดจริงอ่ะ!

จุดสำคัญของการซื้อสินค้าลดราคานั้น สำหรับคนทั่วไปมักจะมองเรื่องความประหยัด จึงมีคุณแม่บ้านหลายคนที่นิยมซื้อของลดราคาแบบเอาเป็นเอาตาย บางคนก็ซื้อตุนไว้เพื่อใช้ได้ในวันข้างหน้า โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น น้ำตาล น้ำปลา ข้าวสาร ฯลฯ แม้ว่าจะลดราคาเพียงไม่กี่บาท แต่พวกเธอก็เห็นว่าคุ้มค่าหากตัดสินใจซื้อ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดเงินให้กับครอบครัว

ส่วนการเลือกซื้อสินค้าลดราคาสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มนั้น อาจไม่มีความสำคัญมากนัก เพราะคนกลุ่มนี้เขารู้ดีว่าสินค้านั้นมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จะลดราคาหรือไม่ก็ต้องซื้ออยู่ดี กลยุทธ์ในการหั่นราคาจึงใช้ไม่ได้ผลกับเขาและเธอเหล่านั้น แต่ถ้าวันหนึ่งสินค้าที่คนกลุ่มนี้ถูกอกถูกใจติดป้ายลดราคา ดิฉันเชื่อว่าการตัดสินใจซื้อย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ใครก็ตามที่เห็นว่าสินค้าราคาถูกจึงต้องซื้อ ดิฉันมีข้อเตือนใจให้คิดกันเล่นๆ ว่า ของถูกที่ดีๆ ไม่มีในโลก ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าที่ไหนจะมาขายในราคาต่ำกว่าทุนที่ติดป้ายประกาศไว้ ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อคุณควรเลือกว่าถ้าราคาถูก แต่คุณภาพไม่อยู่ในมาตรฐานที่เคยกินเคยใช้กัน ก็อย่าซื้อเลยเพราะคงไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรอก

คุณคงเคยเห็นแผนกอาหารสำเร็จรูปในห้างสรรพสินค้าทั่วไป มักจะลดราคาสินค้าในช่วงระหว่าง 3-4 ทุ่ม หรือเวลาที่ห้างใกล้จะปิด สินค้าเหล่านี้มีทั้งที่น่าซื้อและไม่น่าซื้อ แต่ก่อนที่จะซื้อกันขอแนะนำให้คิดให้รอบคอบนะคะ ต้องดูให้แน่ใจว่ามันหมดอายุหรือยัง เพราะบางอย่างที่คุณคิดว่าซื้อมาแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้นาน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้

แม้แต่เสื้อผ้ายี่ห้อดังที่มักประกาศลดราคาในช่วงปลายปี หรือเทศกาลสำคัญ ๆ ที่จะสามารถกอบโกยเงินจากกระเป๋าบรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ได้ หากคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่าสินค้าเหล่านั้นบางครั้งก็มีตำหนิ แต่คุณอาจมองไม่เห็น หรือแม้แต่เสื้อบางตัวคุณอาจเคยเห็นเขาโชว์เพื่อขายเมื่อหลายปีแล้ว หากใส่ไปแล้วแทนที่จะเท่แต่กลับถูกเพื่อนแซวว่าแต่งตัวเชย หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครคงไม่คุ้มค่ากับเงินที่คุณจ่ายอย่างแน่นอน

หากคุณไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อกลยุทธ์การขายสินค้า ดิฉันขอเตือนว่าคุณอย่าเป็นคนหูเบาและเชื่อใครต่อใครง่ายๆ นะคะ เพราะบางครั้งคำพูดบางคำจากภาพยนตร์โฆษณาที่บอกว่าถ้าตัดสินใจซื้อภายในวันนี้จะได้รับส่วนลดจากที่ประกาศขายอยู่ หากคุณคิดเป็นก็ต้องทราบว่าจะมีใครในโลกนี้ยอมจ่ายค่าโฆษณาในราคาแพงๆ เพื่อมาขายของราคาถูกให้กับคุณกันค่ะ

การซื้อสินค้าที่ลดราคาทุกครั้งในฐานะที่คุณเป็นผู้บริโภคจะต้องได้รับความเป็นธรรมใช่หรือไม่ ดังนั้นทุกๆ คนจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม? ถูกจริงๆ หรือแหกตา อย่าลืมนะคะว่าทุกวันนี้เงินทองนั้นหายาก ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปต้องคุ้มค่าและคุ้มราคาค่ะ

6 นิสัยทำลายตัวเอง

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร? บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ

ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่

1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน

สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

ระวัง...สารเคมีจากชุดชั้นในสีดำ

จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูง ซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมา ทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตราย และมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก

แต่สาวๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมาก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้ง

วิธีเลือกทำสีผมจากสีผิว

ใครที่กำลังอยากทำสีผมให้ดูดียิ่งขึ้น วันนี้มีเทคนิคการเลือกสีผมจากสีผิวเพื่อให้ดูเข้ากันยิ่งขึ้นมาบอก....

- ผิวขาวอมชมพู ผิวสีนี้ดูมีสุขภาพดี สีผมที่เหมาะกับ คือ เฉดสีบลอนด์ ควรเลือกสีบลอนด์ประกายหม่น หรือโทนน้ำตาลทอง และทองแดงประกายน้ำตาล แล้วเสริมด้วยการทำไฮไลต์โทนอ่อนกว่าหนึ่งระดับเพื่อช่วยให้ผิวดูไม่ซีดเกินไป

- ผิวขาวอมเหลือง สีผิวนี้ทำให้ใบหน้าดูซีดเซียว จึงควรเลือกทำสีผมโทนสีแดง เช่น ประกายม่วงเหลือบแดง น้ำตาลแดงประกายม่วง หรือแดงเข้มประกายแดง

- ผิวสองสีหรือสีน้ำผึ้ง เหมาะกับผมโทนสีทอง เช่น สีส้ม น้ำตาลทองเคลือบประกายทอง สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเนื้อ หรือทำไฮไลต์สีน้ำตาลอ่อนไล่ระดับ เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น

- ผิวสีแทน ผิวคล้ำหรือผิวสีเข้ม เหมาะกับผมสีน้ำตาลแก่ น้ำตาลช็อกโกแลต สีมอคค่า และควรเพิ่มประกายทองแดง หรือเพิ่มมิติด้วยไฮไลต์ไล่ระดับ เพื่อขับให้สีผิวดูไม่คล้ำจนเกินไป รู้อย่างนี้แล้ว ลองเลือกเฉดสีให้เหมาะกับตัวเองเพื่อดูดียิ่งขึ้น.

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

น้ำคลอโรฟิลล์

เห็นหลายคนนิยมดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ตามกระแสคนรักสุขภาพ บ้างก็เชื่อว่า ดีต่อสุขภาพมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคบางโรค บ้างก็บอกว่าเป็นน้ำอายุวัฒนะ

ยิ่งในปัจจุบัน พบว่ามีการโฆษณาขายน้ำคลอ โรฟิลล์กันเต็มไปหมดโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมาคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

นพ.กฤษดา กล่าวว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเสมือนเป็นเลือดของพืช ประกอบด้วยแมกนีเซียม มีคุณสมบัติช่วยเติมกระดูก เกลือแร่ได้ ที่สำคัญจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนกับพืชที่ จะใช้คลอโรฟิลล์ต้านอนุมูลอิสระจาก แสงแดด ยกตัวอย่างต้นกล้วยที่ต้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดนาน ๆ แต่มันไม่เหี่ยวไม่ตายก็เพราะว่า มันมีคลอ โรฟิลล์ นอกจากจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแล้ว มันจะเป็น เหมือนด่านที่กันแดดเอาไว้ ไม่ให้แดดมาเผาใบทำให้เกิดอนุมูลอิสระ

ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ให้เราดื่ม มักจะสกัดจากพืชที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น สกัดจากต้นหญ้าอัลฟัลฟ่า ซึ่งมีอยู่ตามทุ่งราบอเมริกา ที่พบว่ามีคลอโรฟิลล์สูง จึงนิยมนำมาให้สัตว์กิน แต่เนื่องจากมีกากเยอะ คนกินไม่ได้ จึงได้นำมาสกัดเอาเฉพาะคลอโรฟิลล์

สำหรับน้ำคลอโรฟิลล์ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีทั้งที่สกัดจากหญ้าอัลฟัลฟ่า และพืชผักอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีเขียวจาง ๆ ไม่เข้มข้นมาก ก็เพราะมีการนำมาเจือจางกับน้ำ ดังนั้นจึงไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เรากินจากพืชผักสด ๆ

ถามว่าควรจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์หรือไม่ นพ.กฤษดา ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง ถ้ามีสตางค์กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นผมจะกินจากผักสดดีกว่าเพราะได้กากใยจากผักด้วย
ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรา สามารถเลือกกินคลอโรฟิลล์ได้จากพืชใบเขียวต่าง ๆ เพราะคลอโรฟิลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบของพืชผัก สังเกตได้ง่าย ๆ ตรงไหนมีคลอโรฟิลล์เยอะ ก็คือตรงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงนั่นเอง

พืชผักใบเขียวหลายชนิดที่มีคลอโรฟิลล์ เช่น คะน้า ตะไคร้ ใบเตย สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย ผักโขม ปวยเล้ง ใบแมงลัก สาหร่ายทะเล ถ้าไม่อยากเสียสตังค์กินสด ๆ ได้ หรืออาจจะนำมาปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้ ก็จะทำให้ได้น้ำคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นมากขึ้น หรือจะต้มน้ำใบเตย น้ำตะไคร้ก็ได้ หรือบางคนอาจจะนำมาใส่ในอาหาร เช่น ต้มเปรอะจะใส่ใบย่านางหรือใบแมงลัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า คลอโรฟิลล์ ไม่ควรนำไปอุ่นหรือโดนความร้อนจัดจนเกินไป เพราะทำให้เสื่อมสลายไปได้

โดยหลักแล้วควรจะกินหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อย่างที่บอกถ้ามีสตางค์กินได้ก็ดี ดีกว่าน้ำเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ ในคนที่มีเกลือแร่ในเลือดไม่ค่อยสมดุล อย่างคนที่เป็นโรคไต อาจจะขับเกลือแร่ไม่ได้ ดังนั้นต้องพึงระวังว่า อาจจะได้รับเกลือแร่เกินจากคลอโรฟิลล์ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะแมกนีเซียมถ้ามีเยอะเกินไปอาจจะมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจได้

นพ.กฤษดา บอกว่า ที่มีการโฆษณากันและไม่เป็นไปตามนั้น ก็คือ กรณีที่บอกว่าคลอโรฟิลล์ช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายนั้น ความจริงคือเมื่อเรากินเข้าไปคลอโรฟิลล์จะไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงเหมือนในพืช ตรงนี้หลายคนมักจะเข้าใจผิดกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คนหันมาดื่มน้ำคลอโรฟิลล์กันมาก แทนที่จะกินจากผักสด ก็คงเพราะกลัวเรื่องสารพิษ หรือยาฆ่าแมลงในผัก ก็เลยเลือกคลอโรฟิลล์ที่สกัดแล้ว

ท้ายนี้คงขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วละว่า หลังจากที่ นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลแล้วจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ต่อหรือไม่ เพราะอย่างที่บอก คลอโรฟิลล์ก็มีประโยชน์ แต่สามารถหากินได้ง่ายจากพืชผักใบ เขียวต่าง ๆ ถ้าใครกระเป๋าหนักจะหามาดื่มก็ไม่ว่ากัน.

ดื่มชาเขียวแช่เย็น เป็นอันตรายจริงหรือ?

คงจะเป็นเพราะว่าชาเขียวในท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อขายดิบขายดี ก็เลยมีการเขียนข้อความและส่งต่อกันทางอีเมล โดยอ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง ให้ข้อมูลทำนองว่า “การดื่มชาเขียวที่แช่เย็น จะทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระ หรือสารพิษออกจากร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษอันเป็นสาเหตุของมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ” เป็นต้น

อีเมลดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มาฟังจากปาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

นพ.กฤษดา กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องอธิบาย เกี่ยวกับชาก่อน ชาแบ่งเป็นประเภทง่าย ๆ ตามปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ 5 กลุ่ม คือ 1.ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ได้ผ่านการหมัก 2.ชาดำ จะหมักนาน โดนอากาศ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดลง 3.ชาอูหลง เป็นชาที่หมักส่วนหนึ่ง ไม่ได้หมักส่วนหนึ่ง จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากลุ่มที่ 2 แต่ น้อยกว่ากลุ่มแรก 4.ชาขาว มาจากส่วนยอดของใบชาที่ยังเป็นตุ่มอยู่เลย ยังไม่ผลิใบ ปีหนึ่งจะเก็บได้ 2 ครั้ง คุณสมบัติก็พอ ๆ กับชาเขียวเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ และ 5.ชาสมุนไพร เป็นชาแบบไม่ใช่ชา เช่น ชามะลิ ใบหม่อน เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระในชา คือ สารคาเทชิน และอีกตัวคือแทนนินซึ่งมีประโยชน์คือทำให้ลำไส้ปกติ ไม่แปรปรวน โดยแทนนินจะมีรสฝาด

ชาที่เป็นซองซอย หรือหั่นละเอียด จะดีกว่าชาที่กินเป็นใบตรงที่ว่า ชาหั่นละเอียดจะทำให้สารแทนนิน หรือสารฝาดออกมาเยอะ แต่บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบรสฝาดเท่าไหร่ คือถ้าชอบรสอ่อนหน่อย ก็จะดื่มชาที่เป็นใบ ๆ

วิธีการเลือกชา คือ ไม่ควรเลือกชารสฝาดเกินไป เพราะถ้าชารสฝาดเกินไปอาจจะเป็นกากชาที่มันหักหรือทิ้งไว้นานก็ได้ ไม่เลือกชาที่มีรสจางอ่อนจนเกินไป เพราะเท่ากับว่าแทบจะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เลย ส่วนสีก็พอจะบอกได้ว่า ถ้าสีเข้มน่าจะมี สารแทนนินเยอะ แต่สีจางก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดี เสมอไป

นพ.กฤษดา บอกว่า สารต้านอนุมูลอิสระคือ คาเทชินในชาจะหายไปถ้าโดนความร้อนจัดนานนับชั่วโมง โดยมีงานวิจัยระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนาน ๆ แต่คนที่ดื่มชาส่วนใหญ่จะชงชาดื่ม ไม่ต้มชา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร

เพราะฉะนั้นที่อีเมลระบุว่า ชาที่แช่เย็น จะทำให้เกิดมะเร็งนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใด สิ่งที่น่าห่วงในชาเขียวที่เป็นขวด ๆ แช่เย็น คือพวกน้ำตาลมากกว่า เพราะถ้าดื่มในปริมาณมาก ๆ อาจทำให้อ้วนได้

ใครที่ไม่ควรดื่มชา ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า คนที่มีปัญหา ท้องอืดบ่อย ๆ เพราะชาจะทำให้ท้องอืด ลำไส้บีบตัวไม่ดีนัก เด็กก็ไม่ควรดื่ม และคนเป็นโรคหัวใจ ก็ไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้ใจเต้นเร็ว ทำงานหนักขึ้น หญิงตั้งครรภ์ก็เช่นกัน เพราะในชามีกาเฟอีน อาจจะส่งผลต่อการบีบตัวของมดลูก และไปกระตุ้นตัวอ่อนในครรภ์ได้ อาจส่งผลทำให้คลอดก่อนกำหนด รวมทั้งคนที่เป็นโรคไต เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย

แล้วใครที่ควรจะดื่มชาบ้าง ? นพ. กฤษดา กล่าวว่า คนที่อยากจะคุมน้ำหนัก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า สารแทนนินในชา ถ้ารวมกับ กาเฟอีน ซึ่งมันมีอยู่ในชาทั้ง 2 ชนิด จะช่วยในเรื่องการเผาผลาญในร่างกาย แต่ไม่ถึงกับช่วยลดน้ำหนัก ดังนั้นคนที่จะคุมน้ำหนักก็สามารถดื่มชาได้ร่วมกับการออกกำลังกาย และอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรดื่มชา คือ คนที่สูบบุหรี่จัด พวกนี้จะมีสารอนุมูลอิสระเยอะ ก็คงต้องการสารคาเทชินมากหน่อย ไปช่วยต่อต้านสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็ง รวมไปถึงคนที่ต้องใช้สมองเยอะ ๆ ขี้หลง ขี้ลืม คาเทชินจะช่วยล้างตะกรันแก่ในสมองได้

นพ.กฤษดา ยังแนะ เคล็ดลับง่าย ๆ ให้สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังคงอยู่ คือ ระหว่างชงชา ให้ใส่มะนาวลงไปด้วย คือ แทนที่จะกินชาเขียวร้อน ๆ อย่างเดียวก็กินชาผสมมะนาวไปด้วยแต่ถ้าไม่ชอบรสเปรี้ยวก็ไม่ต้องใส่มะนาวก็ได้

สรุปว่า ชาเขียวแช่เย็นไม่ได้เป็นอันตรายตามที่ข้อความในอีเมลระบุ แต่ข้อควรระวังก็คือปริมาณน้ำตาลในชาเขียวที่เป็นขวดมากกว่า เพราะหากดื่มมากจนเกินไป และไม่ออกกำลังกาย อาจทำให้อ้วนได้ ส่วนใครจะดื่มหรือไม่ดื่มชานั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเอง เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครไปบังคับกันได้.

กว่าจะเป็น 'ยางรถยนต์' วัสดุคงทน สารพัดประโยชน์

แม้จะไม่ใช่อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง เฉกเช่น กระสุนปืน หรือลูกระเบิด แต่เจ้าผลิตภัณฑ์กลม ๆ ดำ ๆ นามว่า “ยางรถยนต์” ที่ เป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่มีคนกล่าวถึงกันมากในช่วงเหตุการณ์ไม่สงบที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่า มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์มากมายไม่แพ้กันหากต้องสูดดมควันพิษจากการถูกเผาเป็นเวลานาน ๆ

เป็นที่ทราบกันดีว่า “ยางรถยนต์” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เป็นส่วนที่แบกรับน้ำหนักทั้งหมดของรถยนต์ ช่วยบังคับทิศทาง ช่วยลดแรงกระแทก หรือแม้กระทั่งมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำมัน...

ยางเส้นดำ ๆ ที่ใช้กันอยู่นั้น หากมองดูเผิน ๆ แล้วไม่น่าจะทำยากอะไร แต่ในความเป็นจริง กรรมวิธี ขั้นตอนการผลิตมีความรัดกุมอย่างยิ่ง โดยกว่าจะได้ยางออกมาสักเส้นหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ก้องเกียรติ ทีฆมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ช่วยไขข้อข้องใจให้ฟังว่า การผลิตยางมีขั้นตอนแรก คือ การเตรียมชิ้นส่วน เป็นการผสมวัตถุดิบ ซึ่งมีส่วนผสมกว่า 30 ชนิด ผสมรวมกัน โดยส่วนประกอบที่สำคัญจะเป็น ยางธรรมชาติ ที่ทำจากยางพารา ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากภูมิภาคในอาเซียน ทั้ง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย มีคุณสมบัติช่วยถ่ายเทความร้อน ทำให้ยาง มีความยืดหยุ่นทนต่อแรง กระแทกได้ดี

นอกจากนั้น ยังมี ยางสังเคราะห์ เป็นส่วนประกอบ เพื่อให้ยางทนต่อความร้อนเพราะถ้าใช้ยางธรรมชาติอย่างเดียวเมื่อเจออากาศร้อนจะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ยางจะอ่อนตัวลง อีกส่วนประกอบหนึ่ง คือ ผงเขม่า ช่วยทำให้โมเลกุลจับตัวกันแน่นมากขึ้น ทำให้ยางมีความแข็งแรงทนต่อการสึกและรอยขีดข่วนต่าง ๆ เป็นที่มาและเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยางรถยนต์มีสีดำ

“ยางแต่ละชนิดนั้น จะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน อย่าง ยางรถบรรทุก จะมี สัดส่วนของยางธรรมชาติมากกว่ายางสังเคราะห์ หรือยางเครื่องบิน ที่ต้องใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงหรือรับน้ำหนักมาก จะต้องใช้ยางธรรมชาติมากกว่ายางสังเคราะห์ ส่วนยางรถเก๋ง จะมีส่วนประกอบของยางสังเคราะห์มากกว่ายางธรรมชาติ เพราะรถมีน้ำหนักเบาและใช้ความเร็วที่ไม่สูงมาก”

ต่อมาส่วนผสมที่ได้จะถูกนำไป เข้าเครื่องรีดให้ออกเป็นแผ่นสี ดำ ๆ บาง ๆ เพื่อนำไปเคลือบกับขดลวดและผ้าใบ ทำให้หน้ายางมีความแข็งแรง และช่วยให้การหมุนของล้อมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยมีขอบลวดซึ่งทำหน้าที่รัดยางเข้ากับกระทะล้อที่ถูกสร้างด้วยการนำเส้นลวดมาวาง เรียงเป็นแผ่นแล้วเคลือบด้วยยาง จากนั้น นำไปพันทับขดเป็นวงตามขนาดล้อแล้วใช้เส้นใยมาพันรอบเพื่อให้ขดลวดแข็งแรง คงรูป ก่อนนำไปประกอบกับชิ้นอื่น

“ขอบลวดนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์จะเป็นส่วนของกระดูกสันหลัง เมื่อหน้ายางผลิตเสร็จแล้วส่วนประกอบทุกอย่างจะถูกยึดกับขอบลวดที่กระทะล้อทั้งหมด ถ้ามีการกระทบกระเทือนในส่วนนี้โครงสร้างของยางจะยุบตัวทันที ฉะนั้นเส้นรอบ วงของยางจึงมีความสำคัญมาก”

เมื่อได้หน้ายางที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การสร้างยาง เป็นการขึ้นรูปตัวยางโดยจะมีแม่พิมพ์ หลังจากที่ขึ้นรูปยางแล้ว อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ยางจะมีหน้าตาเหมือนกับที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป แต่จะมีลักษณะกลม เกลี้ยง และเรียบทั้งเส้น โดยจะเรียกยางที่ยังไม่ได้อบนี้ว่า ยางดิบ หรือ กรีน ไทร์ (Green Tire)

จากนั้น จะเอา กรีน ไทร์ เข้าไป อบในเตาอบ โดยในเตาอบจะมีแม่พิมพ์ใส่ไว้เพื่อให้รู้ว่ายางที่ทำนั้นเป็นยางรุ่นอะไร เช่น ยางรุ่นเอ็กเซอร์เลนท์ แม่พิมพ์ก็จะเป็น รุ่นเอ็กเซอร์เลนท์ด้วย ใช้เวลาอบประมาณ 15 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของยาง ถ้ายางมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาอบนานขึ้น

เมื่อยางได้รับความร้อนจะหลอมเข้าไปอยู่ในแม่พิมพ์ทำให้เกิดร่องยางขึ้น เมื่ออบ เสร็จจึงได้ยางที่มีดอกยาง จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอน การตรวจสอบคุณภาพ เช่น ยาง กลมและมีน้ำหนักตามที่กำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้ง ตรวจสอบค่าถ่วงยาง โดยตรวจสอบดูว่า ยางมีน้ำหนักเท่ากันทุกจุดหรือไม่ เพราะถ้ายางมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ทุกจุดเวลาวิ่งรถจะสั่น เมื่อได้ ยางตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ก็จะจัดเก็บต่อไป

ทุกขั้นตอนมีความสำคัญหมด โดยเฉพาะขั้นตอนแรก เพราะถ้าทำไม่ได้มาตรฐาน ทำไม่ดี ขั้นตอนต่อไปถึงจะทำต่อก็ไม่มีประโยชน์ ผลออกมาก็เป็นยางที่ไม่ได้คุณภาพอยู่ดี ฉะนั้น ต้นน้ำมีความสำคัญ แต่ในทุกขั้นตอนของการผลิตยางจะมีการควบคุม คุณภาพอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มาตรฐานจะเอาออกทันที ไม่ฝืนทำต่อ

“ส่วนยางที่ไม่ได้มาตรฐาน การควบคุมทำได้โดยการตัดแก้มยางออกให้เป็นของเสียก่อนที่จะขาย เพื่อป้องกันคนที่มารับซื้อไปนำไปขายต่อ สำหรับยางเก่าหรือยางที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่านั้น บางรายก็นำไปใช้ที่ท่าเรือเพื่อใช้กันกระแทก บางรายนำไปเผาแล้วขายให้กับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เนื่องจากยางเป็นเชื้อเพลิงที่ดี โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจะเอาไปเผาเพื่อเป็นเชื้อ เพลิง โดยนำความร้อนที่ได้ไปต้มน้ำเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก่อนที่จะนำยางไปเผาจะมีกระบวนการแยกชิ้นส่วนของยางก่อน โดยตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แยกผ้าใบและเหล็กที่อยู่ด้านในออก เพราะไม่ได้เป็นเชื้อเพลิงที่ดี แต่เชื้อเพลิงที่ดีคือ ยางที่เป็นสีดำ ๆ

บางราย นำไปทำเป็นส้นรองเท้า ที่เพาะเลี้ยงกบ ก็มี บางรายนำไปทำเป็นสนามเด็กเล่น โดยการนำไปหลอมใหม่ทำเป็นแผ่น ๆ ไม่ใหญ่มากนำมาวางรองบนพื้นกันกระแทกไม่ให้เด็กหกล้มแล้วเจ็บ รวมทั้งนำไป ทำเป็นกระถางต้นไม้ และปะการังเทียม ตลอดจนนำไปใช้ในสนามแข่งรถเพื่อ กันกระแทกบริเวณขอบสนาม และนำไปทำเก้าอี้นั่ง ซึ่งในต่างจังหวัดจะพบเห็นบ่อย บางรายมีการนำยางไปรีไซเคิลกลับมาเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง แต่มีราคาค่อนข้างสูง ตรงนี้คงต้องมีการศึกษาต่อไป”

อายุของยาง 1 เส้น อยู่ที่ประมาณ 4 ปี หลังจากลงล้อแล้ว ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เมื่อยางหมดอายุหรือต้องการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ ยางที่ไม่ใช้แล้วเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า ยางเก่า หรือ ยางเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะซื้อ-ขายกันในราคาตั้งแต่ 100-800 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพของยาง ไม่มีมาตรฐานกำหนด ที่แน่นอน เช่น ถ้าดอกยางยังลึกอยู่จะขายได้เส้นละ 500-600 บาท ถ้าใช้ไปได้แค่ปีเดียวยางยังอยู่ในสภาพที่ดีก็อาจจะขายได้ถึง 800 บาท

“ที่เรียกว่า ยางเปอร์ เซ็นต์ นั้นในส่วนของผู้ผลิต เวลาร้านค้าส่งยางเข้ามาคืนโดยบอกว่ายางมีปัญหาบางครั้งทางผู้ผลิตก็จะคืนเงินกลับไป ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของหน้ายางที่เขาใช้ไปอย่าง สมมุติว่า หน้ายางมีความหนาอยู่ที่ 5 มิลลิเมตร ราคาเส้นละ 1,000 บาท นั่นคือทุก 1 มิลลิเมตร จะมีค่าเท่ากับ 200 บาท เมื่อนำมาขายตรวจดูแล้วยางเหลือความหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร ก็จ่ายให้ยางเส้นนั้น 400 บาท จึงเรียกว่า ยางเปอร์เซ็นต์ คือ จ่ายตามสภาพยางที่เหลือ หรือความสมบูรณ์ของยางที่เหลืออยู่”

ก้องเกียรติ กล่าวด้วยความห่วงใยว่า ด้านการดูแลยางก็ไม่ควรมองข้าม ลมยาง เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรตรวจเช็กเป็นประจำ เติมลมให้ เหมาะสม ซึ่งโดยปกติ ทางผู้ผลิตจะติดคำแนะนำไว้ตรงบริเวณประตูรถหรือฝาน้ำมัน เพราะ ลมยางที่อ่อนไป เป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของยาง โดยยางด้านนอกจะสึกมากกว่ายางด้านใน และที่มากไปกว่านั้น คือ ความร้อนส่วนเกินจะมากขึ้น ทำให้ยางมีความทนทานน้อยลง ยางที่อ่อนจะทำให้รถทำงานหนัก และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น

ส่วน การสูบลมยางที่มากเกินไป จะทำให้ส่วนกลางของดอกยางรับน้ำหนักของรถมากกว่าส่วนอื่น ทำให้ส่วนนั้นเกิดการสึกมาก กว่าส่วนอื่น ส่งผลให้ยางนั้นมีเสียงและรถสั่นในขณะที่วิ่ง

สำหรับการผลิตยางรถยนต์ในอนาคตกำลังมีการ คิดค้น วิจัย และพัฒนา เทคโนโลยี ในการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากขึ้น.