วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือแสดงเจตนาตาย! ความปรารถนาสุดท้ายของชีวิต…มีสิทธิหรือไม่?

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามา หากผู้ป่วยต้องการปฏิเสธการรักษา โดยแพทย์ยอมรับคำร้องขอและยุติการรักษา แพทย์ท่านนั้นผิดหรือไม่ และผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาของตนได้อย่างนั้นหรือ?

นพ.ชาตรี เจริญศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาไว้อย่างน่าสนใจว่า กฎหมายประเทศไทยไม่ได้ห้ามการเสียชีวิตเหมือนกฎหมายประเทศอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าการตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปด้วยเรื่องสุขภาพ และเป็นการบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น หนังสือบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ถือว่าเป็นการปฏิเสธการรักษาซึ่งแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าในขณะที่ผู้ป่วยยังมีสติดีอยู่
หยุดความทรมานจากเทคโนโลยี...เพื่อการตายดี
ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตราที่ 12 ระบุว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ โดยกระบวนการยืดการตายที่ว่านี้ อาจเป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือเครื่องมือบางอย่างเพียงเพื่อยืดการตายออกไปทั้งๆ ที่ผู้ป่วยได้ก้าวเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะที่แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและพิจารณาว่าการรักษานั้นๆ เป็นการรักษาเพียงเพื่อการยืดชีวิตหรือไม่

เดิมทีก่อนที่จะมีการออกพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติที่รับรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ป่วยก็มีสิทธิตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยไม่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาล และได้แจ้งความประสงค์กับญาติว่า ถ้าตนไม่มีสติแล้วไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ขอเสียชีวิตโดยได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลานที่บ้าน หลังจากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้มาพบแพทย์ ซึ่งกฎหมายก็ไม่ได้เอาผิดผู้ป่วยหรือญาติ กรณีนี้เรียกว่าเป็นสิทธิตามธรรมชาติของบุคคล แต่ถ้าจะทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาชัดเจน กรุณาใช้สิทธินี้ตามมาตราที่ 12 และถ้าทำเป็นหนังสือแล้วแพทย์ปฏิบัติตาม จะมาฟ้องแพทย์ก็ไม่ได้
งเจตนาปฏิเสธการรักษาแล้วต่อมามีแนวโน้มว่าอาจรักษาได้ จะมีปัญหาหรือไม่
อาจมีกรณีที่ผู้ป่วยได้ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในอดีตตอนยังมีสติดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเทคโนโลยีพัฒนาจนสามารถรักษาได้ การปฏิเสธการรักษาจึงต้องมีเงื่อนไขอื่นประกอบการพิจารณาด้วยว่า ในสถานการณ์นั้นเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตจริงหรือไม่ และก่อนจะกระทำการใดๆ แพทย์และพยาบาลควรที่จะปรึกษาผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งการปรึกษานี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมาย แต่เป็นมาตรฐานวิชาชีพ และเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ด้วย ซึ่งการปฏิเสธการรักษาควรต้องพิจารณา 3 ปัจจัยหลักๆ ประกอบกันคือ

1. ต้องเคารพเจตนาของผู้ป่วย
2. แพทย์ใช้ดุลยพินิจตามมาตรฐานวิชาชีพ
3. ปรึกษาญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยในหนังสือแสดงเจตนาจะต้องระบุชื่อบุคคลดังกล่าวไว้ด้วย

เชื่อว่าด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ดีมากของเมืองไทย ขอให้บอกกล่าวแพทย์ก็รับฟังความต้องการของผู้ป่วย แต่ในทางกลับกันหากเขียนหนังสือแสดงเจตนาไว้ แต่ไม่ได้แสดงหนังสือให้ใครทราบ หนังสือฉบับนั้นจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะถือว่าไม่ได้แสดงเจตนา

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคนไทย เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงตามวัฒนธรรมไทย หากไปอิงกฎหมายต่างประเทศจะยุ่งยากมาก เพราะกฎหมายต่างประเทศ ความตายเป็นสิ่งที่กฎหมายต้องอนุญาตให้ตาย แต่กฎหมายไทยความตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางสุขภาพ และเราก็เชื่อว่าการตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งมีปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิของผู้ป่วยโดยแพทย์สมาคมโลกได้ให้การรับรองไว้ในระดับนานาชาติแล้วว่า สิทธิเกี่ยวกับร่างกายตัวเองสามารถตัดสินใจได้

ปัจจุบันหากผู้ป่วยไม่ได้ระบุเจตนาไว้ล่วงหน้า ต่อมาญาติได้แจ้งขอปฎิเสธการรักษา และขอนำตัวผู้ป่วยกลับบ้าน อาจด้วยเหตุผลด้านการรักษาหรือค่าใช้จ่าย ญาติก็มีสิทธิทำได้อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน แพทย์เห็นว่าคนไข้ยังอยู่ในอาการที่ไม่สามารให้กลับบ้านได้ แพทย์ก็มีสิทธิที่ปฏิเสธคำขอได้เช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันระหว่างมาตรฐานวิชาชีพกับความต้องการของญาติ แต่กรณีเช่นนี้จะกระจ่างชัดมากขึ้นถ้าทำหนังสือไว้ล่วงหน้า ว่าแค่ไหนที่จะไม่ทำการรักษาต่อไป
อย่างไร หากญาติทำใจไม่ได้ แต่ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้แล้ว
กรณีนี้สิ่งที่ต้องย้อนกลับไปคำนึงถึงคือ เจตนาของผู้ป่วยเป็นสำคัญ สำหรับผู้ที่มีความหมายต่อตัวผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิตกรุณาอย่าได้รู้สึกผิดกับการดำเนินไปตามเจตนานั้น เพราะนี่คือสิทธิของการบอกเจตนาปฏิเสธการรักษาที่แท้จริง…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น