วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฟิล์มที่หายไปในสงครามโลกครั้งที่ 2

พฤษภาคม ปี ค.ศ.1939 ผู้อพยพวัย 19 ปี แจ๊ค วอร์เนอร์ หรือชื่อเดิมว่าฮันส์ วอร์เนอร์ ออกเดินทางจากออสเตรียประเทศบ้านเกิดด้วยการขับรถข้ามไปยังฮอลลีวูด แคลิฟอร์เนีย ที่ที่เขาหวังว่าจะได้เข้าสู่ธุรกิจภาพยนตร์ ขณะที่ประเทศบ้านเกิดยอมรับความสุดขอบของนาซี อเมริกาจึงเป็นความหวังใหม่สำหรับชีวิตใหม่ที่กำลังเริ่มต้น

“ผมจำได้ ตอนที่อยู่ในออสเตรีย หลังจากฮิตเลอร์เข้ามายึดครองได้ไม่นาน กฎหมายต่อต้านคนยิวทั้งหมดก็มีผลทันที เราไม่ได้ถูกมองเป็นประชาชนอีกต่อไป ภายใน 1 สัปดาห์ พ่อผมถูกไล่ออกจากงาน บัญชีธนาคารของเราถูกยึด ไม่มี ใครช่วยเราได้เลย แล้วจากนั้นวันหนึ่งผมตื่นมา แต่เช้าตรู่ นอกหน้าต่างมีชายคนหนึ่งร้องเพลงจากฮอสเฟสเซิ้ลหลีด เพลงประจำพรรคนาซี”

เนื้อร้องของเพลงที่ว่า “เมื่อเลือดของชาวยิวหลั่งจากปลายมีดของเรา ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” ตอนนั้นเริ่มมีคนเดินตามถนนแต่ไม่มีใครพูดอะไร แต่วินาทีนั้นฮันส์หรือแจ๊คในวันนี้ก็ตัดสินใจว่าเขาต้องไปจากที่นี่ แจ๊คเดินทางผ่านเทือกเขาแอลป์มุ่งตรงสู่อเมริกา

ขณะที่ยุโรป 3 ใน 4 กำลังเผชิญกับอานุภาพอันร้ายกาจของฝูงบินนาซี อเมริกากลับยังมองดูเพียงห่าง ๆ หลายคนคิดว่าเป็นปัญหาของยุโรป คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ยังจดจำความสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไม่ อยากเข้าร่วมสงครามอีก แต่ประธานาธิบดีอย่าง แฟรงคลิน โรซาเวลล์ พยายามโน้มน้าวพวกเขา ไปอีกทาง

16 กันยายน ค.ศ.1940 โรซาเวลล์ลงนามในกฎหมายว่าด้วยเรื่องทางทหารในยามสันติ ฉบับแรกขึ้นในประวัติศาสตร์อเมริกัน ชายชาตรีอายุ ระหว่าง 21-30 ปี จะต้องเข้ารับราชการทหาร แม้รัฐสภาจะผ่านกฎหมายฉบับนี้ แต่มันยังถูกเรียกว่า มาตรการเพื่อป้องกันประเทศ ทหารที่ถูกเรียกตัว จะถูกส่งไปปกป้องเขตแดนที่อเมริกายึดครองเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันเลวร้าย ที่เกิดขึ้นในยุโรป ผู้อพยพอย่างแจ๊ค จึงเปลี่ยนไปสมัครเป็นทหาร

ในขณะนั้นกองทัพสหรัฐมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก และเกือบ 2 ใน 3 ของทหารอเมริกันที่เข้ามาใหม่ไม่เคยแม้แต่จะยิงปืนไรเฟิล

“มันน่าตกใจที่รู้ว่าเราไม่พร้อมเลยครับ ทุกคนไร้ประสบการณ์ ยังเดินไปทั่วพร้อมกับไรเฟิล-สปริงฟิลด์ และหมวกเหล็กสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงศตวรรษที่ 20 แล้วพวกเขา ยังคิดจะสู้สงครามกับศัตรูที่เพียบพร้อมด้วยอาวุธกับอุปกรณ์แบบนี้”

ฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1941 ฮิตเลอร์คือเจ้า แห่งทวีปยุโรปโดยสมบูรณ์ กองกำลังของเขา พิชิต 11 ประเทศและปกครองคนกว่า 70 ล้านภายใต้ธงนาซี ในเกือบทุกประเทศที่พิชิตได้กอง กำลังวัฟเฟน เอสเอส จากพรรคนาซีของฮิตเลอร์และกองทัพเยอรมันธรรมดาจะใช้นโยบายกดขี่ และการสังหารหมู่

จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี ได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหาร อีกครั้ง ทั้งหมดตกลงที่จะปกป้องผลประโยชน์ ร่วมกัน ฝ่ายอักษะพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนโลก แล้วอเมริกาก็ต้องเข้าร่วมในสงครามอย่างเลี่ยง ไม่ได้เมื่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพญี่ปุ่น

4 วันหลังการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐมันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฮิตเลอร์ประกาศสงครามกับประเทศอื่น ขณะนั้นสงครามในยุโรปและเอเชียได้ผสานรวมกันเป็นสงครามหนึ่งเดียว สงครามครั้ง ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ความตื่นกลัวกระจายไปทั่วสหรัฐเมื่อคนอเมริกันตระหนักว่ามีศัตรูอยู่ 2 ฟากชายฝั่ง แต่ที่โดดเด่นกว่าความกลัวก็คือ ความรักชาติและความโกรธแค้น 30 วันหลังถูกโจมตีชายหนุ่มกว่า 134,000 คนก็ได้เข้าร่วมเป็นทหาร ระหว่างนั้น กองทัพอเมริกันมีเพียง 5 แสนคน

เพื่อป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์นานหลายเดือน ผู้นำทหารสหรัฐก็ตระหนักว่าสถานการณ์เริ่มสิ้นหวัง อเมริกาไร้กำลังที่จะส่งกองหนุน นายพลผู้บัญชาการ ดักลาส แมคอาเธอร์ ได้รับคำสั่งให้อพยพออกมาในช่วงกลางคืนโดยทิ้งทหารไว้ ทหารอเมริกันและฟิลิปปินส์กว่า 76,000 คนถูกจับเป็นเชลยโดยทหารญี่ปุ่นที่คาบสมุทร บาทาน

แล้วเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ณ กัวดาคาแนล เกาะป่าห่างไกลที่ปลายสุดตอนใต้ของหมู่เกาะโซโล มอนกองทัพอเมริกันที่เสียหายหนักใช้เรือลาดตระเวนเก่า ๆ มาเป็นเรือขนส่ง ทหารขาดประสบ การณ์กว่า 10,000 นายเพื่อไปยังเกาะที่ญี่ปุ่น ได้สร้างสนามบินไว้ ซึ่งหากมันเสร็จสมบูรณ์อังกฤษที่อยู่ในแปซิฟิกจะถูกแยกให้โดดเดี่ยวเพื่อให้ญี่ปุ่น ได้เข้ารุกราน

เมื่อได้รับคำสั่งให้ยกพลขึ้นบก พวกเขาพบแต่ความเงียบ บางคนคิดว่าญี่ปุ่นคงโง่ที่ไม่เตรียมการป้องกัน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ทหารค่อย ๆ เคลื่อนผ่านป่าดงดิบมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย สนามบิน ที่ยังไม่แล้วเสร็จลึกเข้าไปในแผ่นดินไม่ถึง 1 ไมล์ แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง พลปืนของญี่ปุ่นที่ซุ่มพรางอยู่ในป่าอย่างเชี่ยวชาญเริ่มยิงเข้าใส่ทหารเหล่านั้น

“มีนักแม่นปืนอยู่ทุกแห่ง ทุกที่ ชายคนหนึ่งล้มลงหลังถูกยิงที่ขา ไม่มีใครเห็นคนที่ยิง ตอนนี้ เรากำลังเจอกับนรกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนกลางคืนที่นี่เป็นเกาะของญี่ปุ่นซึ่งพวกเขารู้จักมันอย่างดี เราขุดหลุมลงไปในดินที่เหลวเละ ทุกคนกระสับกระส่าย พวกยามคอยยิงเมื่อได้ยินเสียง”

เมื่อถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักทหารญี่ปุ่นยอมทิ้งสนามบินที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมแพ้ ห่างไป 600 ไมล์ทางเหนือ ญี่ปุ่นตอบโต้อย่างหนักหน่วงทิ้งระเบิดใส่กองเรืออย่าง บ้าระห่ำขณะที่บางส่วนออกจากกัวดาคาแนล เช้าวันรุ่งขึ้นนาวิกโยธินที่อยู่บนฝั่งก็ไม่เห็นอะไรนอกจากซากเรือและมหาสมุทรที่ว่างเปล่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น