วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โศกนาฎกรรมของราชวงศ์ 'โรมาน็อฟ'

17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย พร้อมด้วยมเหสีและลูก ๆ อีก 5 คน ถูกประหารชีวิต แต่ไม่มีใครพบพระศพ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1991 หลุมศพถูกเปิด ทว่าศพของเด็ก 2 คนกลับหายไป นั่นจึงทำให้เป็นที่มาของข่าวลือว่าทั้งสองหนีไปได้ และอาจจะสืบทอดสายเลือดของราชวงศ์โรมาน็อฟต่อมา

ต้นศตวรรษที่ 20 ราชวงศ์โรมาน็อฟเป็นศูนย์กลางของชีวิตชาวรัสเซีย โดยมีพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 เป็นจักรพรรดิตั้งแต่ปี ค.ศ.1894 ชนชั้นชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของรัสเซียในเวลานั้นเทิดทูนพระองค์อย่างมาก แต่สิ่งที่ตรึงความนิยมที่มีต่อราชวงศ์โรมาน็อฟ ก็คือ โอรสและธิดาผู้งดงามทั้ง 5 พระองค์โอลก้า ทาทิอาน่า มาเรีย อะนาสตาเซีย 4 พระธิดาผู้งดงาม และอเล็กซี่ องค์ชายเล็กผู้เป็นรัชทายาท

ทั้งหมดพำนักอยู่ในพระราชวังฤดูหนาว ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พระราชวังฤดูหนาวเป็นที่พำนักไม่ธรรมดาสำหรับอยู่และเติบโต ที่นั่นมีใบไม้ทองคำเป็นเอเคอร์ และหินอ่อนล้อมรอบเป็นไมล์

ปี ค.ศ.1914 รัสเซียเริ่มระส่ำระสายหลังจากเยอรมนีประกาศสงคราม ภายในเวลา 1 ปี คนรัสเซียประมาณ 1.5 ล้านคน ถูกฆ่าตายและบาดเจ็บ ทุกความล้มเหลวของเครื่องจักรสงครามของรัสเซียสะท้อนกลับไปถึงรัฐบาลรัสเซียซึ่งที่จริงก็คือ นิโคลัส พระองค์ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบให้คนเห็น

ทว่าขณะที่ความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้น ผู้คนในมหานครกำลังอดตาย มีรายงานเรื่องความวุ่นวาย แต่พวกโรมาน็อฟยังคงบังเงาความรื่นรมย์ของชีวิตจากความไม่น่าดูที่กลั่นตัวนอกพระราชวัง

กุมภาพันธ์ ค.ศ.1917 หลายปีในสงคราม ราชวงศ์โรมาน็อฟเผชิญศัตรูผู้มาประชิด ผู้ยุแหย่ทางการเมืองได้ฉวยโอกาสและลงมือ “ปฏิวัติรัสเซีย” พวกโรมาน็อฟอพยพไปยังพระราชวังอเล็กซานเดอร์ 27 กม.ทางใต้ของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ขณะรัฐบาลเฉพาะกาลเข้าควบคุมประเทศที่กำลังโกลาหล

เดือนตุลาคมปีเดียวกันพรรคบอลเชวิก นำโดย วลาดิเมียร์ เลนิน เข้ายึดอำนาจ กลุ่มบอลเชวิกเป็นพวกยึดมั่นในหลักของการปฏิวัติ ซึ่งต่อต้านและเกลียดชังระบอบขุนนางเข้ากระดูกดำและโดยเฉพาะนิโคลัส ดังนั้นซาร์กับครอบครัวจึงถูกนำตัวไปยังที่มั่นของบอลเชวิกที่ เอ แคทเทอ รินเบอร์ก ในยูราล ห่างไปกว่า 1,700 กม. จากพระราชวังเดิม

“นั่นเป็นที่สุดท้ายบนโลกนี้ที่ข้าพเจ้าจะต้องการไป ข้าพเจ้ารู้ว่าประชาชนที่นั่นต่อต้านข้าพเจ้าอย่างมาก” นิโคลัสตรัส

บ้านหลังนั้นมีการอารักขาอย่างเข้มงวด ครอบครัวโรมาน็อฟตกเป็นนักโทษภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการหัวรุนแรงยาค็อฟ ยูร็อฟสกี้ นักปฏิวัติผู้ทุ่มเท นอกจากคอยดูแลเวรยามแล้วเขามีหน้าที่เตรียมการประหาร

ประมาณตี 2 วันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 ทหารยามแจ้งพวกครอบครัวโรมาน็อฟว่า พวกเขาต้องย้ายลงไปห้องใต้ดิน คนของยูร็อฟสกี้มารวมพลในห้องข้าง ๆ เพื่อบรรจุกระสุนและเตรียมอาวุธ ยูร็อฟสกี้ สั่งให้ทั้งครอบครัวอยู่รวมกันเพื่อถ่ายรูปเหมือนกับที่พวกเขาเคยถ่ายมาแล้วนับไม่ถ้วน ลูกสาวเบียดตัวชิดกับแม่ พระเจ้าซาร์อยู่ข้างลูกชาย ผู้ที่จับพวกเขามาตั้งแถวเบื้องหน้า
ยูร็อฟสกี้ อ่านบทสรุปและแถลงการณ์สั้น ๆ ว่า เป็นที่ตัดสินแล้วว่านิโคลัสต้องถูกประหารชีวิต ทั้งครอบครัวอยู่ในสภาพไม่เชื่อ นิโคลัสโชคดีที่ทรงสิ้นพระชนม์ทันที แต่ส่วนมากที่เหลือไม่ใช่ พวกเขาทรมานอย่างสาหัสมีเสียงหวีดร้อง ควัน และไม่มีใครเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไร กระสุน 103 นัด ถูกยิงออกไปยังพวกเขาแบบไม่ได้เล็ง

บอลเชวิกไม่ต้องการให้มีการกู้ศพขึ้นมาถวายพระเกียรติจากผู้อาลัยรักพระเจ้าซาร์ผู้สละชีพ จึงต้องกำจัดซากศพแบบไม่ให้เหลือร่องรอย ศพที่โชกเลือดถูกนำไปในป่าลึกและถูกนำลงจากรถบรรทุกเพื่อฝังตามจุด แต่เพราะเวลาที่ล่วงจนใกล้รุ่งเช้า ยูร็อฟสกี้กับคนของเขาเกรงว่าจะมีใครรู้ ศพจึงถูกโยนลงไปในหลุมโดยไร้พิธีฝังใช้กรดโรยทับแล้วจุดไฟเผาอย่างเร่งรีบ

การรื้อหลุมศพขึ้นใหม่ในป่าไกลโพ้นใกล้เมือง เอ แคท เทอ ริน เบอร์ก ในปี ค.ศ.1991 นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์เศษกระดูกที่ขุดขึ้น มาได้เพื่อหาดีเอ็นเอ เศษกระดูกที่พบมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกันทางครอบครัว ระหว่างกระดูกที่เชื่อว่าเป็นของนิโคลัส และกระดูกที่เชื่อว่าเป็นของอเล็กซานดร้าและพระธิดาทั้งสาม

7 ปี หลังจากกระดูกของพวกเขาถูกขุดขึ้นมา ซาร์ นิโคลัสที่ 2 และสมาชิกในครอบครัว 4 พระองค์ ถูกฝังไว้ ณ ป้อม พอล แอนด์ แมรี่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมกับพระศพของสมาชิกราชวงศ์ซาร์ทุกพระองค์ นับแต่ปีเตอร์มหาราชทรงสร้างนครนี้ขึ้นมา

ครอบครัวโรมาน็อฟ ถูกประกาศให้เป็นนักบุญ แต่มี 2 หลุมที่ยังคงว่างอยู่สำหรับ อเล็กซี่ เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทและ อีกหลุมเป็นของพระธิดาถ้าไม่ใช่มาเรีย ก็เป็น อะนาสตาเซีย

เดือนกรกฎาคม ค.ศ.2007 ในที่สุดก็มีการพบหลุมฝังแห่งที่ 2 ห่างจากหลุมแรกไปเพียง 60 เมตร กระดูกถูกสับจนขาดแล้วเผา เหลือเพียง 44 ชิ้นที่ให้เบาะแสได้ กระดูกเหล่านั้นเป็นของเด็กผู้ชาย 1 คน อายุ 12-15 ปี และเด็กผู้หญิง 1 คน อายุ 17-19 ปี การพิสูจน์จากดีเอ็นเอเริ่มต้นอีกครั้ง

กุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 หลังจากมีการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เศษกระดูกของลูกโรมาน็อฟที่หายไป 2 คนนั้นระบุตัวได้แล้ว ความหวังที่ว่าจะมีใครเหลือรอดจบลงทันที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น